การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

//

lgbtthai

beefhunt

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  เป็นการติดเชื้อโรคที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ช่องปาก และทวารหนัก ซึ่งโรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัส เช่น การจูบ หรือจากแม่สู่ลูกในครรภ์โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีสาเหตุเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต  ซึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย ได้แก่ หนองใน หนองในเทียม เริมที่อวัยวะเพศ เอชไอวี ซิฟิลิส และการติดเชื้อเอพีวี เป็นต้น

ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง และยาวนาน เช่น ตาบอด สมองถูกทำลาย ภาวะมีบุตรยาก ความพิการแต่กำเนิด และแม้กระทั่งการเสียชีวิต โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บางโรคสามารถรักษาให้หายได้ และบางโรคอาจรักษาได้แต่ไม่หายขาด ซึ่งเราจะรู้ได้ว่าเราติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่  ด้วยการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถช่วยให้ตัวผู้ติดเชื้อได้รับการวินิจฉัย และรับการรักษาได้ทันท่วงที และหลีกเลี่ยงภาวะโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ อีกด้วย

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

เหตุใดต้องมีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคไม่ได้แสดงอาการของโรคสมอไป ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อแม้ว่ามีสุขภาพดีก็ตาม ดังนั้นต้องได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรค การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงมีความสำคัญมาก

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีดังนี้

  • ผู้ใหญ่ และวัยรุ่นทุกคนที่มีอายุ 13 ถึง 64 ปี  ที่มีเพศสัมพันธ์ ควรได้รับการตรวจตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
  • ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้หญิงในกลุ่มอายุนี้เข้ารับการตรวจหนองในเทียม และโรคหนองในทุกปี ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปควรได้รับการทดสอบว่ามีคู่นอนใหม่ หรือหลายคู่ หรือมีคู่ครองที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้หญิงอายุ 21 ปีขึ้นไป ผู้หญิงในกลุ่มวัยนี้ควรได้รับการตรวจแปปสเมียร์เพื่อตรวจดูความผิดปกติในปากมดลูก ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของมะเร็งที่อาจเกิดจาก HPV (human papillomavirus)
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกคน โดยปกติหญิงตั้งครรภ์จะได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี หนองใน เทียมและซิฟิลิส ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงบางประการอาจได้รับการตรวจหาโรคหนองใน และโรคตับอักเสบซีด้วย
  • ชาย และหญิงที่มีเพศสัมพันธ์ซึ่งมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันและไม่ได้ อยู่ ในความสัมพันธ์แบบคู่สมรสคนเดียว ความสัมพันธ์แบบคู่สมรสคนเดียว หมายถึงการมีคู่นอนเพียงคนเดียวในแต่ละครั้ง
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ควรได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เป็นประจำตามคำแนะนำของผู้ให้บริการ
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมีความเสี่ยงสูงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายในกลุ่มนี้ควรได้รับการตรวจซิฟิลิส หนองในเทียม หนองใน และเชื้อเอชไอวี อย่างน้อยปีละครั้ง ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคนอาจได้รับจากการตรวจโรคที่บ่อยมากขึ้น  (เช่น ทุก 3 ถึง 6 เดือน)
  • คนที่ติดเชื้อเอชไอวี หากคุณมีเชื้อเอชไอวี คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีก คนในกลุ่มนี้ควรได้รับการตรวจโรคซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม และโรคเริม
  • ผู้ที่ใช้ยาแบบฉีด การใช้เข็มร่วมกัน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แนะนำให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นประจำสำหรับกลุ่มนี้ อย่างน้อยปีละครั้ง
  • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทวารหนัก  ควรพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับทางเลือกในการตรวจช่องคอและทวารหนัก
  • ผู้ที่มีคู่นอนคนใหม่ ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักกับคู่นอนรายใหม่ ต้องแน่ใจว่าคนทั้งคู่ได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้ว

อาการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด ทำให้เกิดอาการ อาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่คุณอาจต้องทดสอบหากคุณมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น

  • เจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ
  • เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวมีกลิ่นผิดปกติ
  • มีของเหลวไหลออก และ/หรือมีอาการคัน จากอวัยวะเพศหญิง หรือทางช่องคลอด
  • มีของเหลวไหลออก และ/หรือมีอาการคันจากอวัยวะเพศชาย
  • แผล หรือตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
วิธีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

การทดสอบในห้องปฏิบัติการสามารถค้นหาสาเหตุของอาการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีอาการของโรค โดบผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อที่ต้องสงสัย ดังต่อไปนี้ 

การตรวจเลือด (Blood tests)

  • ใช้เพื่อวินิจฉัยโรคซิฟิลิส เชื้อเอชไอวี และบางครั้งโรคเริม
  • ในระหว่างการทดสอบ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพจะเก็บตัวอย่างเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขนโดยใช้เข็มขนาดเล็ก หลังจากสอดเข็มแล้ว เลือดจำนวนเล็กน้อยจะถูกเก็บลงในหลอดทดลอง หรือขวด

การตรวจปัสสาวะ (Urine tests)

  • ใช้เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ Trichomoniasis และบางครั้งโรคหนองใน
  • ในระหว่างการทดสอบ จะต้องจัดเตรียมตัวอย่างปัสสาวะที่ปลอดเชื้อในถ้วยตามคำแนะนำของผู้ให้บริการ

การเก็บตัวอย่างของเหลว (Swab tests)

  • ใช้ในการวินิจฉัย ติดเชื้อ HPV โรคหนองในเทียม โรคหนองใน และโรคเริม
  • ในระหว่างการทดสอบ ผู้ให้บริการจะใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบพิเศษเพื่อเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ ในผู้หญิง อาจเก็บตัวอย่างจากช่องคลอด หรือปากมดลูก ในผู้ชาย อาจเก็บตัวอย่างจากองคชาต หรือท่อปัสสาวะ ซึ่งเป็นท่อนำปัสสาวะออกจากร่างกาย

ตรวจภายใน (Pap smears)

  • ปกติแล้วการตรวจด้วยวิธีแปป สเมียร์ เป็นการตรวจเพื่อสังเกตอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก แต่มะเร็งปากมดลูกก็อาจเกิดจากการติดเชื้อ HPV เมื่อมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน

การเจาะเอว หรือที่เรียกว่าการเจาะกระดูกสันหลัง (Lumbar puncture, also known as a spinal tap)

  • นี่ไม่ใช่วิธีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ใช้บ่อย แต่อาจทดสอบได้ หากผู้ให้บริการ คิดว่าผู้ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสระยะลุกลาม หรือหากการติดเชื้อโรคเริมส่งผลต่อสมอง หรือไขสันหลังของคุณ
  • สำหรับการทดสอบนี้ ผู้ให้บริการจะฉีดยาชาที่หลังของคุณ ดังนั้นผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ในระหว่างทำหัตถการ
  • เมื่อบริเวณนั้นชาแล้ว ผู้ให้บริการจะสอดเข็มกลวงบางๆ ระหว่างกระดูกสันหลัง 2 ชิ้นที่กระดูกสันหลังส่วนล่างของผู้ป่วย แล้วจะดูดของเหลวจำนวนเล็กน้อยเพื่อทำการทดสอบต่อไป

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีความเสี่ยงหรือไม่?

  • มีความเสี่ยงน้อยมากในการตรวจเลือด คุณอาจมีอาการปวด หรือช้ำเล็กน้อยบริเวณที่แทงเข็ม แต่อาการส่วนใหญ่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
  • การตรวจปัสสาวะ การเก็บตัวอย่างของเหลว  หรือตรวจภายใน ไม่มีความเสียงเลย
  • หากมีการเจาะเอว อาจมีอาการปวด หรือกดเจ็บบริเวณหลังบริเวณที่แทงเข็มเข้าไป คุณอาจปวดหัวหลังทำหัตถการ อาการปวดหัวอาจกินเวลานานหลายชั่วโมง หรือนานถึงหนึ่งสัปดาห์ หรือมากกว่านั้น

เมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเพิ่งมีความเสี่ยงในการติดโรค ควรรีบปรึกษาแพทย์ และงดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย และแนะนำให้คู่นอนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เข้ารับการตรวจรักษาด้วย

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม