การควบคุม และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรณีที่บุคคลมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี การใช้ยาเป๊ป (PEP) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ที่อาจติดเชื้อได้ ดังนั้นหากรู้วิธีการใช้ยาเป๊ปอย่างถูกวิธีสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยาเป๊ป (PEP- Post-Exposure Prophylaxis)
คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี แบบฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี มาแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน และต้องกินยาต่อเนื่องติดต่อกันนาน 28 วัน ซึ่งถ้าได้รับยาเป๊ป เร็วมากเท่าไหร่ โอกาสในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก็มากเท่านั้น
ยาเป๊ป ประกอบด้วยยาต้านไวรัสประมาณ 3 ชนิด ที่ทำงานโดยช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของสารพันธุกรรมในเชื้อ และยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนจะแพร่กระจายในร่างกายได้ โดยตัวยาสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้มากกว่า 80%
ใครบ้างที่ควรกินยาเป๊ป?
- ผู้ที่ไม่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย หรือถุงยางอนามัยฉีกขาด
- ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
- ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
- ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
- ผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
- ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยา หรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
ใครบ้างที่ไม่ควรกินยาเป๊ป?
สำหรับผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ปกติก่อนรับยาจะต้องมีการตรวจค่าตับด้วยนั้น ไม่ใช่ว่าการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีแล้วจะไม่สามารถรับยาได้ เพียงแต่การจ่ายยาจะมีการปรับสูตรเพื่อหลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อตับมากออกไป ทั้งนี้ ใครที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับตับควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะดีที่สุด
ก่อนกินยาเป็ป ต้องทำอะไรบ้าง?
ปรึกษา และตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
- ต้องซักประวัติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพิจารณาว่าจำเป็นต้องรับยาเป็ป หรือไม่
- แพทย์จะสั่งตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ตรวจไวรัสตับอักเสบบี การทำงานของตับและไตก่อนรับยาเป็ป (หากติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อนแล้วจะไม่สามารถใช้ยาเป็ปได้)
- ต้องได้รับทันที ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
- หลังกินยาครบ 28 วัน ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีซ้ำ 1 เดือนและ 3 เดือน ในช่วงนี้ควรงดบริจาคเลือด และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ผลข้างเคียงของยาเป๊ป
อาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ มึนศีรษะ นอนไม่หลับ อาการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วง 3-5 วันแรกหลังจากเริ่มกินยา และจะหายไปภายใน 7 วัน ซึ่งผลข้างเคียงของยาเป๊ปจะเกิดมาก หรือน้อยขึ้นกับสูตรของยาเป๊ป
ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ แบบเสี่ยงๆ สามารถใช้ยาเป๊ป ได้ตลอดไปหรือไม่?
ยาเป็ป เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น หากรู้ตัวว่าจะต้องมีความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีอยู่เป็นประจำ ควรใช้ยาเพร็พ (PrEP) และใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสม และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
ระหว่างที่กินยาเป๊ป สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
ผู้ที่กินยาเป๊ปยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ในระหว่างที่กินยาเป๊ป
ถ้าไม่ได้กินยาเป๊ป ตามที่แพทย์กำหนดจะเป็นติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่?
หากเกิดเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถกินยาเป๊ปตามที่แพทย์กำหนดได้ ก็ยังไม่ถือว่าติดเชื้อเอชไอวี เพียงแต่ประสิทธิภาพในการป้องกันจะน้อยลง ทั้งนี้จะต้องตรวจเอชไอวีซ้ำอีกครั้งตามที่แพทย์นัดเพื่อความมั่นใจ และแน่ชัดว่าในร่างกายมีเชื้อเอชไอวีอยู่หรือไม่
ยาเป๊ป รับได้ที่ไหน?
ยาเป๊ป ไม่สามารถหาซื้อได้ทางร้านขายยาทั่วไป เพราะถือเป็นยาอันตรายที่ควรได้รับการตรวจเลือด และจ่ายยาโดยแพทย์ผู้มีใบประกอบโรคศิลป์เท่านั้น หรือสามารถติดต่อรับยาเป๊ป ได้ที่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาล และคลินิกที่มียาเป๊ปบริการหลังการเสี่ยงติดเชื้อให้เร็วที่สุด เช่น คลินิกนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลทั้งรัฐ หรือเอกชน และคลินิกเฉพาะทาง
ค่าใช้จ่ายในการกินยาเป๊ป
จะมีตั้งแต่ราคา 1,200-20,000 บาท ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของแพทย์ว่าร่างกายของผู้รับยาต้องใช้ตัวยาไหนในการรักษา หรือต้องมียาอื่น ๆ นอกจากยาเป๊ป ร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย ที่อาจดูว่าค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับความสามารถที่จะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
การใช้ยาเป๊ป (PEP) อย่างถูกวิธีมีความสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และมีส่วนสำคัญในการสนับสนุน และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี หากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรรีบไปหาแพทย์ หรือสถานพยาบาลที่ให้บริการยาเป๊ป โดยทันทีเพื่อเริ่มการรักษาและป้องกันการติดเชื้ออย่างเหมาะสมและทันท่วงที.