ประเทศไทยถูกมองและเข้าใจมาตลอดว่าตนเองคือสวรรค์ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ในแง่ที่เราเป็นสังคมซึ่งเปิดกว้างและให้การยอมรับต่อการดำรงอยู่ในพื้นที่สาธารณะของผู้มีความหลากหลายทางเพศค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆ ในทวีปเอเชียด้วยกัน
เพราะอย่างน้อยสังคมไทยก็ไม่มีกฎหมายที่กำหนดให้การรักเพศเดียวกันเป็นความผิดที่ต้องได้รับการลงโทษ หรืออย่างน้อยการเป็นคนรักเพศเดียวกันในสังคมไทยก็ไม่ได้ถูกกระทำความรุนแรงทางกายภาพจากคนในสังคมอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบางสังคมที่กำหนดบทลงโทษรุนแรงในการเป็นคนรักเพศเดียวกันซึ่งมักเชื่อมโยงกับข้อห้ามทางศาสนาที่เคร่งครัด เกย์ไทย
ยิ่งไม่ต้องนับว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งข่าวของดาราที่ยอมเปิดเผยว่าตนเองเป็นคนรักเพศเดียวกันหลายต่อหลายคน และในขณะเดียวกันเราก็เห็นปรากฏการณ์ “คู่จิ้น” ระหว่างชายรักชายที่ปรากฏให้เห็นอย่างแพร่หลายในสื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพความเข้าใจที่ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้เสรีภาพในเรื่องรสนิยมทางเพศค่อนข้างมาก
แต่ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วในการยืนยันว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่อคติ ไม่มีการกีดกันหรือการเลือกปฏิบัติต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงหรือ?
ผมคงสามารถยกตัวอย่างได้มากมายเพื่อมาพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้แต่ในสังคมไทยที่ดูเหมือนมีความเปิดกว้างในเรื่องรสนิยมทางเพศของคนมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายสังคม ปัญหาอคติ ความรุนแรง การกีดกันและการเลือกปฏิบัติที่กระทำต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ยังคงหลบซ่อนอยู่ในสังคมไทยของเราอย่างแนบเนียนมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ในบทความชิ้นนี้ผมจะขอมุ่งประเด็นไปที่ตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดใคร่ครวญและหมกมุ่นอยู่ในใจมายาวนาน และคิดว่านี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของอคติที่สังคมมีต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นอคติที่ฝังลึกแน่นและถูกมองเห็นได้ยากมากในสังคมไทย ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือเราดันไปคิดว่าสิ่งนี้เป็นความใจกว้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสังคมไทยซึ่งสังคมอื่นไม่มี
“จะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์หรือเป็นอะไรก็เป็นไป ขอให้เป็นคนดีก็พอ”
ผมเชื่อว่าข้อความที่ผมยกมานี้ คงเป็นถ้อยคำที่เราได้ยินได้ฟังกันติดหูมานาน อย่างน้อยผมก็จำความได้ว่าได้ยินประโยคแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ไม่สำคัญเลยว่าคุณจะเป็นเพศอะไรหรือมีรสนิยมทางเพศแบบไหน คุณก็สามารถจะได้ยินคำพูดในลักษณะแบบนี้อยู่เสมอตามสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าผ่านปากของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเพศทางเลือก ไม่ว่าจะผ่านคำพูดของครูอาจารย์ที่มีลูกศิษย์เป็นเพศทางเลือก หรือผ่านเนื้อหาของบทละครในโทรทัศน์ที่มักจะผลิตซ้ำคำพูดในลักษณะแบบนี้อยู่เสมอ
แล้วคำพูดนี้มันเป็นปัญหาอย่างไร? คำพูดนี้มันเป็นสิ่งที่สะท้อนอคติที่มีต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศของสังคมไทยได้อย่างไร ในเมื่อมันก็เป็นคำพูดที่เปิดกว้างยอมรับความหลากหลายทางเพศมิใช่หรือ?
คำตอบของผมก็คือ ประโยคในลักษณะนี้ถ้าดูผิวเผินแล้วก็เหมือนจะมีความเปิดกว้างยอมรับต่อความหลากหลายทางเพศ แต่แท้ที่จริงแล้วการดำรงอยู่ของประโยคนี้ในสังคมไทยกลับเป็นสิ่งที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าเราไม่ได้นับหรือให้คุณค่ากับคนที่มีความหลากหลายทางเพศว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมกับเพศชายและเพศหญิงเลยต่างหาก ประโยคเช่นนี้เป็นสิ่งตอกย้ำว่าสังคมไทยคิดและปฏิบัติกับเพศทางเลือกด้วยบรรทัดฐานที่แตกต่างออกไปจากเพศชายและหญิง
เหตุที่ผมกล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า หากลองคิดต่อไปจากตรรกะของประโยคติดหูที่ยกมาข้างต้น มันย่อมจะสื่อถึงนัยยะว่า “คุณต้องเป็นคนดี (มีศีลธรรม) เสียก่อน คุณถึงจะสามารถเป็นเกย์/ กระเทย/ ทอม/ดี้ ฯลฯ ที่สังคม/ชุมชน/ครอบครัวให้การยอมรับได้”
กล่าวคือการเป็น “คนดี” ถือเป็นคุณสมบัติหรือเงื่อนไขเบื้องต้น (pre-condition) ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อนุญาตให้คุณมีเสรีภาพในรสนิยมทางเพศแบบที่คุณต้องการได้ หากคุณไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “คนดี” แบบที่สังคมคาดหวัง คุณก็จะไม่สามารถเป็นเพศทางเลือกที่ได้รับการยอมรับจากสังคมหรือครอบครัว กล่าวอีกทางก็คือคุณไม่สามารถจะมีเสรีภาพในการเลือกรสนิยมทางเพศของคุณได้ เพราะสังคมไทยได้ถือเอามาตรฐานทางศีลธรรมที่วัดว่าคุณเป็นคนดีหรือคนชั่วมาเป็นสิ่งที่จะกำหนดว่าคุณสามารถมีเสรีภาพทางเพศได้หรือไม่
เราคงต้องลองจินตนาการกันดู จะประหลาดแค่ไหนกันหากมีคนเดินมาบอกคุณว่า “คุณต้องเป็นคนดีเสียก่อน คุณถึงจะสามารถเป็นผู้ชาย/ผู้หญิงที่ชอบเพศตรงข้ามได้” ผมกล้ารับประกันได้เลยว่าเราไม่เคยและจะไม่มีวันได้ยินประโยคในลักษณะนี้อย่างแน่นอน นั่นเพราะคนไม่ได้รู้สึกว่าการมีรสนิยมแบบรักต่างเพศ (heterosexuality) ระหว่างเพศชายและหญิงเป็นสิ่ง “ผิดปกติ” หรือ “ผิดธรรมชาติ” ที่ต้องถูกจับจ้อง ตรวจสอบและควบคุมโดยสังคม
ต่างจากคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือคนรักเพศเดียวกัน (homosexuality) ซึ่งสังคมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ “ปกติ” หรือเป็นรสนิยมที่มีความเท่าเทียมกับเพศชายและหญิงแบบรักต่างเพศ สังคมไทยจึงยังต้องอาศัยมาตรการทางศีลธรรมบางอย่างเพื่อพยายามกำกับหรือควบคุมเอาไว้ เป็นเงื่อนไขไม่ให้การเป็นเพศทางเลือกมีเสรีภาพเต็มร้อยหรือถูกนับว่ามีความเท่าเทียมกับรสนิยมแบบรักต่างเพศระหว่างเพศชายและเพศหญิง การที่สังคมบอกกับคุณว่าต้องเป็นคนดีก่อนจึงจะสามารถเลือกรสนิยมทางเพศได้ถือเป็นการสร้างความแตกต่างเชิงบรรทัดฐานระหว่างเพศชาย-หญิงและเพศทางเลือกอื่นๆ
ทั้งๆ ที่เรื่องของรสนิยมทางเพศว่าคุณอยากมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ชีวิตร่วมกับคนเพศใดนั้น ถือเป็นเรื่องของการเลือกในระดับปัจเจกบุคคลที่แต่ละคนควรจะมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตัวเขาเอง โดยไม่เกี่ยวว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะศีลธรรมของคนๆ หนึ่งไม่ใช่เรื่องที่มีความสัมพันธ์กับรสนิยมทางเพศของคนๆ นั้น ผู้ชายก็มีทั้งผู้ชายที่ดีและไม่ดี ผู้หญิงก็มีทั้งผู้หญิงที่ดีและไม่ดี เกย์ก็มีทั้งเกย์ที่ดีและไม่ดี ทุกรสนิยมทางเพศต่างก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไปดังที่เราเห็นได้ทั่วไป
ถ้าเขาเป็นเกย์ที่เป็น “คนชั่ว” ความชั่วร้ายของเขามันก็เป็นเพราะเหตุผลที่มาจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากรสนิยมทางเพศของเขาแต่อย่างใด การเป็นคนเกย์ของเขาไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาเป็นคนชั่วร้าย ดังนั้นการจะมาบอกให้ใครเป็นคนดีเสียก่อนจึงจะสามารถเป็นเกย์ได้จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดและสะท้อนอคติที่มีต่อเพศทางเลือกอย่างยิ่ง
รสนิยมทางเพศมันก็คล้ายๆ กับรสนิยมในการกินอาหาร การเที่ยว การเล่นกีฬา อ่านหนังสือ ฟังเพลง ของมนุษย์นั่นแหละครับ ในชีวิตประจำวันก็คงไม่มีใครมาเที่ยวบอกคนอื่นด้วยคำพูดว่า “จะชอบเที่ยวทะเลหรือภูเขาก็ไม่เป็นไร ขอให้เป็นคนดีก็พอ” หรือ “จะชอบฟังเพลงสากลหรือเพลงไทยก็ไม่เป็นไร ขอให้เป็นคนดีก็พอ” เพราะการตัดสินใจเชิงศีลธรรมมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องรสนิยมส่วนตัวของเขาเลย
รสนิยมส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมถูกผิดในที่นี้ผมหมายถึงรสนิยมส่วนตัวที่กระทำลงไปแล้วไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือไปมีผลกระทบต่อใครนะครับ เพราะคงมีบางคนหรือบางกรณีที่เมื่อกระทำไปตามรสนิยมแล้วสามารถไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้ เช่น คนที่ชอบแอบถ่ายกระโปรงผู้หญิง เป็นต้น ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ใช่รสนิยมที่ผมพยายามปกป้องในบทความนี้
หากสังคมไทยต้องการจะเป็นสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับรสนิยมทางเพศที่แตกต่างหลากหลายของคนอย่างแท้จริง เราต้องยอมรับการเลือกของเขาว่ามีความเท่าเทียมเหมือนกับรสนิยมแบบรักต่างเพศระหว่างชายและหญิง โดยไม่ต้องไปพยายามกำหนดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่มีศีลธรรมแบบใด เป็นคนดีแค่ไหน หรือต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางการศึกษาหรืออาชีพเสียก่อนจึงจะสามารถเลือกเพศของตนเองได้
เรื่อง: ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี
ขอบคุณ ข่าวจาก http://www.gqthailand.com/talk/article/homosexual