ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้! “แล็คเทเชีย” เด็กชายวัย 8 ขวบ ว่าที่เซเลบคนใหม่ในหมู่ชาว LGBT

//

lgbt Thai Team

beefhunt

ตอนนี้หลายประเทศกำลังเปิดกว้างในเรื่องของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ LGBT

วันนี้มีเรื่องราวน่าสนใจของเด็กน้อยที่กำลังเป็นที่จับตามองว่าจะเป็นเซเลบคนใหม่ของชาวสีรุ้งหรือไม่ กับเด็กที่เรียกตัวเองว่า “แล็คเทเชีย” ซึ่งหนูน้อยคนนี้มีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้นค่ะ

Love2test

งาน Werq the World drag tour ที่จัดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา เป็นงานที่เหล่า Drag Queen หรือบรรดาชายที่แต่งตัวเป็นหญิงมารวมตัวเพื่อประชันกัน แต่ใครจะไปรู้ว่างานนี้จะมีตัวขโมยซีนเป็นหนูน้อยวัย 8 ขวบที่เรียกตัวเองว่าแล็คเทเชีย (Lactatia) โดยหลังจากที่น้องปรากฏตัวในวิกผมสีบลอนด์สว่างกับชุดประดับเลื่อมสีดำแดง ร่างเล็กๆ ของหนูน้อยก็กลายเป็นจุดสนใจจากผู้คนภายในงานจนไม่ว่าใครก็ละสายตาไปจากความกล้าแสดงออกของน้องไม่ได้เลยทีเดียว     เกย์ไลท์

https://twitter.com/twitter/statuses/868678053588848641

ความสะดุดตาของเด็กน้อยที่เรียกตัวเองว่าแล็คเทเชียทำให้เบียงก้า เดล ริโอ (Bianca del Rio) ดาราดังจากรายการ RuPaul’s Drag Race ที่เป็นพิธีกรในงานนั้นเชื้อเชิญให้น้องขึ้นไปโชว์ตัวบนเวทีและบอกว่าเธอชอบสไตล์ของแล็คเทเชียมาก การปรากฏตัวของแล็คเทเชียทำให้ผู้คนสนใจในตัวหนูน้อยคนนี้มากว่าเป็นใครมาจากไหน และเราก็ได้รู้กันในเวลาต่อมาว่าแล็คเทเชียคนนี้คือหนุ่มน้อยที่มีชื่อจริงว่า เนมิส ควินน์ เมแลนคอน โกลเดน (Nemis Quinn Mélançon Golden) วัย 8 ขวบที่เริ่มลุกขึ้นมาแต่งกายเป็นผู้หญิงตอนเขาอายุ 7 ขวบนั่นเอง

แรงผลักดันคือการยอมรับของครอบครัว

แล็คเทเชียได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้น้องเคยสวมชุดเจ้าหญิงของพี่สาวตอนอายุ 2 ขวบค่ะ แต่น้องเริ่มหันมาแต่งชุดพวกนี้อย่างจริงจังตอนที่อายุ 7 ขวบ โดยไอดอลของน้องคือ รูพอล (RuPaul) เจ้าของรายการ RuPaul’s Drag Race เพลงของรูพอลอย่าง Jealous of My Boogie คือเพลงโปรดของน้องที่น้องชอบนำมาร้องลิปซิงก์ “ฉันชอบตอนที่บีทเพลงดรอปลง ชอบวิธีที่รูพอลร้องเพลง มันสนุกดีตอนที่ได้เลียนแบบตาม”

อีกหนึ่งไอดอลที่น้องชื่นชอบมากคือจินเจอร์ มินจ์ (Ginger Minj) อีกหนึ่งคนดังจากรายการ RuPaul’s Drag Race “ฉันชอบการเลือกเสื้อผ้าแล้วก็เมคอัพของเธอ เธอคือไอดอลของฉันเพราะว่าเธอตลก” แล็คเทเชียกล่าว “เธอสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันด้วยการแสดงแล้วก็การทำอะไรหลายๆ อย่าง เธอเป็นราชินีคอเมดี้แล้วฉันก็ชอบวิธีที่เธอแต่งเป็นหญิงด้วยนะ”

อีกแรงผลักดันที่ทำให้เนมิสหรือแล็คเทเชียคนนี้กล้าแสดงออกเป็นเพราะครอบครัวของน้องไม่ได้กีดกันให้น้องห้ามลุกขึ้นมาแต่งตัวข้ามเพศ แต่ตรงกันข้าม ครอบครัวของน้องให้การสนับสนุนและเมื่อเห็นว่าลูกชอบเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ทุกคนในครอบครัวมีส่วนในการสนับสนุนแล็คเทเชีย ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวอย่างแคชเมียร์ (Kashmyr) ที่เป็นคนคิดชื่อแล็คเทเชียให้กับน้อง คอเรียนเดอร์ โกลเดน (Coriander Golden) และเจสสิก้า เมแลนคอน (Jessica Mélançon) คุณพ่อคุณแม่ของน้องก็ช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าและการแสดงให้ โดยเจสสิก้าบอกว่าเธออายุ 37 แต่กลับมีความกล้าได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของลูกเท่านั้น

กระแสสองด้านที่สวนทางกัน

หลังจากที่ภาพของน้องถูกแพร่ออกไป ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ออกมามากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่ากระแสที่ออกมาต้องมีสองด้านค่ะ มีหลายคนเลยที่คิดว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการล่วงละเมิดเด็กในรูปแบบหนึ่ง และพ่อแม่ของน้องไม่ควรช่วยส่งเสริมให้น้องลุกขึ้นมาแสดงออกในเรื่องที่ไม่ควรทำแบบนี้ หลายคนเห็นว่าเด็กชายเนมิสควรที่จะมีวัยเด็กที่สนุกสนานแบบที่เด็กธรรมดาคนหนึ่งควรมี ไม่ใช่การที่เขาต้องมาทำอะไรตามที่พวกผู้ใหญ่ต้องการให้เขาทำแต่ก็มีคนตอบโต้กลับไปเหมือนกันว่าเนมิสกำลังสนุกกับช่วงเวลาวัยเด็กของเขาอย่างการเป็นแล็คเทเชีย พร้อมกับตั้งคำถามกลับไปว่าทำไมเด็กคนหนึ่งต้องอาศัยอยู่บนโลกใบนี้พร้อมกฎเกณฑ์ที่สังคมตั้งขึ้นมาเท่านั้นด้วยล่ะ

แม้จะเกิดกระแสขึ้นมาสวนทางกันแบบนี้ แต่เนมิสหรือแล็คเทเชียก็ออกมาพูดแล้วว่าน้องคิดยังไง “ทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มันไม่สำคัญว่าคนอื่นจะคิดยังไง” แล็คเทเชียกล่าว น้องยังเสริมอย่างติดตลกอีกว่า “ถ้าคุณอยากเป็น Drag Queen แต่พ่อแม่ไม่ยอม คุณก็หาพ่อแม่ใหม่ซะ และถ้าคุณอยากเป็น Drag Queen แต่เพื่อนไม่ชอบ คุณก็หาเพื่อนใหม่เถอะ” นอกจากนี้แล็คเทเชียยังฝันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งบนเวทีของนักร้องดังที่มีคอนเซ็ปต์หลุดโลกอย่างเลดี้ กาก้าด้วย “เพลงโปรดของฉันคือ Born This Way ในเพลงนี้มีข้อความดีๆ มากมายที่ฉันนำมาใช้กับตัวเอง” ราชินีน้อยแล็คเทเชียบอก “มนุษย์ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน แต่เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกัน”

และนั่นคือเรื่องราวของราชินีน้อยที่หลายคนกำลังสนใจกันอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องกระแสที่ตามมาพี่คิดว่าต่างคนต่างความคิดเนอะ ยังไงก็ตามตอนนี้โลกของเรากำลังเปิดรับความแตกต่างกันมากขึ้นนะ ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกและทำในสิ่งที่อยากทำ ขอแค่การกระทำนั้นไม่ทำร้ายใครก็น่าจะพอแล้วล่ะค่ะ ^^

ขอบคุณ ข่าวจาก https://www.dek-d.com/studyabroad/48387/