กว่า 4 ทศวรรษ ที่ “ทิฟฟานีโชว์ พัทยา” เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ยักษ์ใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงให้กลายเป็นแลนด์มาร์กที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้มาท่องเที่ยวเมืองพัทยาและประเทศไทย
ผู้อยู่เบื้องหลังโชว์สุดอลังการที่โด่งดังไปทั่วโลก “สุธรรม พันธุศักดิ์” นักธุรกิจโรงแรมและอดีตนักธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่แม้จะจากไป 2 ปีแล้ว แต่ก็ได้ “อลิสา พันธุศักดิ์” ลูกสาวคนกลาง เจเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูล เข้ามาสืบทอดต่อยอดและสยายปีกธุรกิจ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีเอส โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเข้ามาช่วยผู้เป็นบิดาได้กว่า 20 ปีแล้ว เกย์ท่องเที่ยว
อลิสา เป็นลูกคนกลางในครอบครัวที่มีลูกสาวสามคน โดยเป็นลูกของคุณพ่อสุธรรมและคุณแม่อรวรรณ พันธุศักดิ์ มีพี่สาว-ดาริณ พันธุศักดิ์ และน้องสาว วรัษยา พันธุศักดิ์ ร่วมบริหารธุรกิจในเครือ พีทีเอส กรุ๊ป จบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ เอกการคลัง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, จบปริญญาโท สาขา MBA ด้านการเงิน จาก George Washington University สหรัฐอเมริกา
ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ “อลิสา” ในปีนี้ เธอทุ่มงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาทให้กับ “2 โปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่” เพื่อเมกโอเวอร์โรงละครทิฟฟานีโชว์ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเปิดโปรเจ็กต์ใหญ่ “ไทยมาเช่” ร้านอาหารสุดอลังการใกล้โรงละครทิฟฟานีโชว์ ที่จะกลายเป็นไอคอนแห่งใหม่ของพัทยา
“ที่ผ่านมา ทิฟฟานีโชว์มีการปรับปรุงรูปแบบต่างๆ มาแล้ว 4 ครั้ง โดยครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 18 ปี เพราะเราปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างของอาคาร การตกแต่ง จนถึงรูปแบบของโชว์” บอสใหญ่แห่งทิฟฟานีโชว์เผย
“ครั้งนี้ที่เราทำ เรามองว่า เราได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับตระกูลและประเทศ เพราะพูดได้อย่างเต็มปากว่า เราเป็นโปรดักต์ไทยที่ยืนหยัดมาได้นานถึง 4 ทศวรรษ แม้ช่วง 10 ปีแรกอาจจะยากลำบากบ้าง เพราะมีเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศเข้ามา แต่ปัจจุบัน ทิฟฟานีโชว์กลายเป็นการแสดงที่นักท่องเที่ยวต้องมาดู เราไม่ได้ขายความเป็นเพศ แต่เป็นเรื่องความสามารถ และทุกคนก็มองที่ความสามารถนั้น”
เมื่อเป็นความภาคภูมิใจ เธอจึงต้องต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาผู้บุกเบิกทิฟฟานีโชว์
“ทิฟฟานีโชว์เป็นธุรกิจที่คุณพ่อสู้มาตลอด โดยเฉพาะต่อสู้กับความคิดของผู้อื่นที่ว่า ทำไมทำธุรกิจเพศที่ 3 ซึ่งคุณพ่อบอกว่า
การให้โอกาส มันไม่ใช่เราเลือกเพศ แต่อะไรที่ด้อยโอกาส เราก็ให้ ซึ่งปัจจุบัน เราก็ไม่มองเป็นเรื่องด้อยโอกาส แต่มองว่าเป็นความภาคภูมิใจ”
ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
กว่า 20 ปีที่อลิสาเข้ามาช่วยบริหารงานมิสทิฟฟานีโชว์ เส้นทางสายนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอต้องสู้ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ด้วยปัญหาอุปสรรคที่เข้ามามากมาย ทั้งอคติทางเพศ คู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน การถูกละเมิดลิขสิทธิ์การแสดง รวมถึงการทำงานกับสาวประเภท 2 ที่ต้องใช้ความใส่ใจ เข้าใจ และสื่อสารกันให้มากที่สุด
“ช่วงแรกๆ ที่จ๋าเข้ามาทำ โดนด่าทุกวันว่าเราขายบัตรแพงกว่าที่อื่น เขาพูดถึงขนาดว่า ก็กะเทยโชว์เหมือนกัน จากคำนี้ทำให้จ๋ากลับมาปรับวิธีการทำงานใหม่ ทำให้เราแตกต่าง ยกระดับทิฟฟานีโชว์ พาไปออกอีเวนต์ ไปออกทีวี คุมตลาดให้เห็น เพราะที่เขาว่า เขาไม่ได้ดู ไม่เปรียบเทียบด้วยซ้ำ จ๋ายกระดับทิฟฟานีโชว์ เปลี่ยนจากคำว่าการแสดงของกะเทย ให้เรียกว่านักแสดงทิฟฟานีเพราะนี่คืออาชีพ เป็นวิชาชีพหนึ่ง และเป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรี จ๋ายกระดับทั้งองค์กร และยกระดับทั้งคน”
ณ วันนี้ นักแสดงทิฟฟานีมี 100 กว่าชีวิต ทั้งผู้ชายและสาวประเภท 2 นอกจากความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนแล้ว ผู้บริหารสาวยังให้ความสำคัญกับโชว์ที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงเสื้อผ้าหน้าผมที่ได้ดีไซเนอร์ชื่อดังมาออกแบบให้
“เราเป็นเจ้าแรกของโลก เรามีประสบการณ์มากที่สุด และเราทำโชว์ที่ไม่เลียนแบบใคร เป็นโชว์ที่ครีเอทีฟขึ้นเอง ทำเพลงเอง เป็นลิขสิทธิ์ของเรา ส่วนใหญ่คนอื่นเลียนแบบเรา เพลงเรารั่วตลอด เราทำของคุณภาพมีเอกลักษณ์ อยากดูแบรนด์คุณภาพ คนเก่งที่สุด สวยที่สุด มาดูที่เรา”
ส่วนลูกค้ามีจากทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่ม F.I.T. (นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเอง) ที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งจีน ฮ่องกง และยุโรป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
“จีนชอบดูทิฟฟานีมาก และต้องดูใกล้สุด ราคาแพงสุด ถ้าไม่มีก็ไม่ซื้อ ทิฟฟานีอยู่ในใจของเค้า”
ไม่เพียงเท่านั้น ทิฟฟานีโชว์ไม่ได้ทำการแสดงแค่ใน “พัทยา” หากยังโกอินเตอร์ไปแสดงไกลถึงเมืองนอก ในงานเทศกาลต่างๆ โชว์ต่อหน้าผู้นำประเทศรวมถึงงานประชุมระดับชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเธอทั้งสิ้น
“ตรงนี้คือความภาคภูมิใจ คือเกียรติยศศักดิ์ศรีของเค้า”
มีทั้งงานในและงานนอก เรื่องรายได้นั้นเรียกว่า ไม่ธรรมดา
“เฉพาะเงินเดือนประมาณ 3-4 หมื่น ส่วนงานโชว์ตามที่ต่างๆ เป็นรายได้พิเศษ รวมๆ แล้ว ก็หลักแสนบาท” บิ๊กบอสสาวแง้ม
ความภูมิใจยิ่งกว่าเงินทอง
วิสัยทัศน์ของผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้จบแค่การยกระดับเวทีทิฟฟานีโชว์ หากเธอยกระดับ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ด้วยการจัดประกวดมิสทิฟฟานียูนิเวิร์ส ที่จัดขึ้นครั้งแรกปี 2541 และการประกวดมิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน ที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2547 ซึ่งถือเป็นเวทีแจ้งเกิดของสาวประเภท 2 หลายต่อหลายคน อาทิ ปอย ตรีชฎา, โยชิ-รินรดา ล่าสุด เอสม่อน-กัญญ์วรา แก้วจีน มิสทิฟฟานียูนิเวิร์ส 2018
“ทั้ง 2 เวที ได้รับการตอบรับดีมาก จากตอนแรกขอความร่วมมือจากใครไม่ได้เลย เพราะโดนเหยียดเพศ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว มีแต่คนอยากมาสนับสนุนเพราะเขาเห็นความตั้งใจขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ สื่อต่างประเทศสนใจมาก ทั้งซีเอ็นเอ็น บีบีซี สื่อญี่ปุ่น ที่เข้ามาซื้อคอนเทนต์ไปทำรายการ ทำสกู๊ปรายงานการประกวด”
“นี่คือความภาคภูมิใจ ที่องค์กรทำแล้วไปสู่เป้าหมายของความที่ไม่มีการเหยียดเพศ ซึ่งสังคมก็เปิดกว้างมากขึ้น ไม่เท่านั้น เหล่าสาวประเภท 2 ในต่างประเทศก็มีความภาคภูมิใจมากขึ้น อยู่ง่ายขึ้น ครอบครัวเปิดรับมากขึ้น สภาพจิตใจของพวกเค้าก็ดีขึ้น” อลิสากล่าว และว่า
“ทิฟฟานีโชว์อาจจะมีความสำเร็จในเรื่องของครีเอทีฟ แต่ความสำเร็จใดก็ไม่เท่าความสำเร็จในเรื่องของความเท่าเทียมของมนุษย์ ที่มันยิ่งกว่าเงินทองที่เราได้”
สยายปีกธุรกิจเครือ
“พีทีเอส โฮลดิ้ง กรุ๊ป”
คลุกคลีกับสาวประเภท 2 มาตลอดชีวิตการทำงาน อลิสามองว่า ผู้หญิงเหล่านี้เป็นคนมีความสามารถและทำอะไรทุ่มเท มีความทะเยอทะยาน อยากเจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน และทุกคนรักพ่อแม่รักครอบครัวมาก
ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังมองเห็นถึงความ “ไม่เท่าเทียม” ที่บรรดาลูกน้องได้รับ นั่นคือ ปัญหาการเดินทางไปต่างประเทศที่ยังต้องใช้พาสปอร์ตผู้ชาย ทำให้ประสบปัญหาเข้าบางประเทศยาก
“บางคนถึงกลับเข้าไปอยู่ห้องเย็น ซึ่งนี่มันรุนแรงไป เพราะการไปอยู่ในห้องเย็น มันคือคนที่ไปขายบริการ สถานการณ์นี้ทำให้ใจคนรู้สึกไม่เท่ากับคนอื่น อยากให้มีการปรับแก้กฎหมาย เพราะการเป็นเพศที่ 3 ไม่ได้ผิดอะไร ไม่ผิดปกติ ถ้าเค้าด้อยอะไร ก็ต้องเสริมให้เท่ากันกับคนในประเทศ”
จากความสำเร็จตลอด 43 ปี อลิสาแง้มว่า เตรียมสยายปีกทิฟฟานีโชว์แห่งที่ 2 ให้ไปโลดแล่นที่ “ภูเก็ต” บนพื้นที่ 14 ไร่ บริเวณทางเข้าหาดป่าตอง ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบคอนเซ็ปต์โรงละครและการแสดง ด้วยงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งประกาศรวมธุรกิจทั้งหมดของครอบครัวพันธุศักดิ์ ภายใต้ธุรกิจในเครือ พีทีเอส โฮลดิ้ง กรุ๊ป ที่มีทั้งธุรกิจโรงแรมวู้ดแลนด์โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท, วู้ดแลนด์ สวีทส์ ธุรกิจร้านอาหารฝรั่งเศส ทั้ง ลา บาเกต, ลาเฟรม และไทยมาเช่ ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่มีทั้งทิฟฟานีโชว์, พัทยาสปอร์ตบาซาร์
อีกก้าวสำคัญของนักธุรกิจหญิง “อลิสา พันธุศักดิ์”
คุณแม่สายสตรอง
เรียกว่า เปลก็ไกวดาบก็แกว่ง สำหรับคุณแม่อลิสา หลังจากให้กำเนิด “เบบี้พอล” เพียง 1 เดือน ก็กลับมาลุยงานทันที
“การเป็นแม่ก็เหนื่อยนะ เดือนแรกคืองงไปเลยว่าจะทำงานยังไง ใช้ชีวิตยังไง แม่คนอื่นเขาลางาน 3 เดือน แต่เราลา 1 เดือน เพราะเป็นคนทำงานตลอด ก็ไม่ชินที่ต้องหยุดยาวขนาดนั้น”
สุดท้าย คุณแม่เวิร์กกิ้งวูแมนก็เลยยกที่ทำงานมาไว้ที่บ้านเสียเลย
“ประชุมที่บ้านเลย และไปพัทยาอาทิตย์ละหน โดยพาลูกไปด้วย ตอนกลางวันก็นั่งปั๊มนมในที่ทำงาน และก็ส่งมาให้ลูก ประชุมเสร็จตอนเย็นก็กลับไปอยู่กับลูก โชคดีที่น้องพอลเลี้ยงง่าย จะงอแงเฉพาะเวลาที่หนาวกับหิวนมเท่านั้น”
ซึ่งเธอตั้งใจอยากจะเลี้ยง “เบบี้พอล” ให้เห็นพ่อและแม่ทำงาน เพื่อให้รู้ว่า “ทุกอย่างไม่ได้มาง่ายๆ”
“จ๋าไม่อยากให้ลูกได้ทุกอย่างจนไม่เห็นอะไรมีค่า แต่อยากให้ลูกเห็นเราทำงาน อยากให้เป็นเด็กผู้ชายที่สู้ชีวิต อดทน เพราะอนาคตอยู่ในมือเค้าไม่ใช่มือเรา ก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้มากที่สุด”
คุณแม่คนสวยยอมรับว่า การมีลูกทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสุข
“ลูกทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ คุณปู่คุณย่าคุณยายก็มีความสุข เราก็รู้สึกว่า ทำไมมีความสุขจัง”
ขอบคุณ ข่าวจาก https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_1118810