คู่มือสอนใจตุ๊ด คุย ‘ช่า บันทึกของตุ๊ด’ สิทธิการเลือกเพศ LGBT

//

lgbt Thai Team

“เขาจริงจังและซีเรียสกับชีวิตมากกว่าที่เราคิดไว้” นี่เป็นสิ่งที่เราได้คำตอบหลังจากได้พูดคุยกับ ‘ธีร์ธวิต เศรฐไชย’ หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม ‘ช่า บันทึกของตุ๊ด’ 

ถ้าใครได้ติดตามแฟนเพจ บันทึกของตุ๊ด ได้รู้จักเขาผ่านตัวหนังสือที่หลายคนอ่านแล้วจะต้องมี ‘รอยยิ้ม’ และหลุดขำออกมาเป็นระยะๆ จนทำให้เรื่องราวในแฟนเพจได้กลายมาเป็นหนังสือ และเป็นซีรีส์ที่หลายคนชื่นชอบ อาจจะคิดว่าเขาเป็นคนสนุกสนานตลอดเวลา

แต่เมื่อ Thairath Talk Fresh ได้พูดคุยอย่างจริงจัง กับตัวตน ชีวิต ประเด็น LGBT วินาทีบอกครอบครัว ความภูมิใจในเพศสภาพตัวเอง การบูลลี่เพศที่สาม และฝากถึงคนที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ช่า บันทึกของตุ๊ด จะสอนน้องๆ อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรามีคำตอบ       ข่าวเกย์

ช่า บันทึกของตุ๊ด ครั้งหนึ่งกับการเป็นตัวแทน LGBT ในงานระดับโลก

Thairath Talk Fresh : งาน Life Ball คืออะไร ที่ไปมาแล้วในโลกโซเชียลฮือฮา

Life Ball เป็นมหกรรมการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จะระดมทุนให้ผู้ป่วยที่เป็น HIV มีแบบซื้อบัตรไป คนปกติก็สามารถซื้อบัตรได้ มีบัตรตั้งแต่ 90 เหรียญจนถึง 2-3 พันยูโร แล้วก็มีคนที่ถูกเชิญมาเป็นเซเลบจากประเทศต่างๆ แล้วพอดีปีนี้ Austrian Airlines เป็นปีแรกที่เขาอยากจะเชิญคนทางเอเชียไป ปกติเขาจะไม่เชิญ ปกติเขาจะเชิญแค่ฝั่งยุโรปหรือว่าฝั่งอเมริกาไป ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาอยากจะเชิญฝั่งเอเชียไป มีไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง ที่เขาเชิญไป มี 3 คนที่เขาเชิญไปเป็นทางการนะ (ช่าเป็นคนไทยคนเดียวที่ได้ไป?) ใช่ เป็นคนไทยคนเดียวที่ได้ไป

Thairath Talk Fresh : ทำไมเขาถึงเลือก ช่า บันทึกของตุ๊ด

เราคิดว่าหนึ่งด้วยเพศสภาพเราด้วย แล้วอีกอันนึงก็คือว่าเราเป็นคนที่พูดถึงเรื่อง HIV บ่อยในเพจเรา เรามักจะรณรงค์เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ มันก็เลยกลายเป็นว่ามันน่าจะเข้ากับงานนี้ เขาก็เลยมาเชิญเราไป

Thairath Talk Fresh : งานนี้ไม่ได้มีแค่เพศที่สาม ใช่ไหม

มีทุกเพศไป จริงๆ ใครไปก็ได้ แต่ว่าด้วยหลักมันเป็นที่รู้กันว่า Life Ball เป็นงานแฟนซีด้วย เพราะฉะนั้นตุ๊ด กะเทย ในงานก็จะเยอะมาก

Thairath Talk Fresh : งานนี้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ขนาดไหนสำหรับบ้านเขา

ถ้าฝั่งยุโรปคือเป็นที่พูดถึงมากนะ ถึงขั้นที่ว่าในปฏิทินท่องเที่ยวของเวียนนา ก็มีระบุวันนี้ไว้เลยว่า งานนี้เป็นงานประจำปีของเขา เขาจัดทุกปี คือสำหรับคนที่นู่นงานนี้มันคืองานที่ใหญ่มาก ฝั่งอเมริกา ฝั่งยุโรป เขาจะอินกับงานนี้มาก เป็นงานที่คนเวียนนาตั้งตารอคอยที่จะไป เพราะเป็นงานใหญ่ของที่นู่น

Thairath Talk Fresh : รู้สึกยังไงที่เขาเลือกเราไปงานนี้

ดีใจค่ะ ตอนแรกประหลาดใจนิดนึงว่าทำไมเขาเลือกเรา ก็คุยกับเขาแล้วเขาก็มีเหตุผลของเขาว่าทำไมถึงเลือก เราก็รู้สึกว่าโอเคเราก็จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

Thairath Talk Fresh : ไปงานนี้ได้ทำอะไรบ้าง แค่ไปเดินพรมแดงเหรอ

คือหนึ่งเราต้องไปพูดประชาสัมพันธ์ ในงานนี้ว่างานนี้มันคืออะไร ปกติคนไทยก็จะไม่ค่อยรู้จักงานนี้ อย่างตัวเราเองก่อนที่เราจะไป งานอะไรวะ Life Ball แต่พอเราไปอ่านมันเป็นงานที่จัดมา 25 ปีแล้วติดต่อกันนะ เพราะฉะนั้นคนที่นั้นเขารู้จักงานนี้กันมาก แต่ฝั่งเอเชียก็ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักงานนี้เท่าไหร่ พอเราไปอ่านเออมันเป็นงานที่มีประโยชน์ คือหนึ่งเราก็ต้องประชาสัมพันธ์เรื่องของงานนี้ สองเราก็ต้องเหมือนว่าไปงานนี้แล้วมันเกี่ยวกับ HIV ทุกคำพูดของเราเวลาเราเขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับงาน Life Ball เราก็จะพูดถึง HIV ด้วยให้ความรู้ความเข้าใจที่พ่วงขึ้นมา แล้วก็ไปเดินพรมแดงแต่งตัวสวยงาม

Thairath Talk Fresh : แต่ละลุคสวยมากโดยเฉพาะตอนเดินพรมแดงใครซัพพอร์ตตรงนี้ 

มีพี่แต่งหน้าที่แต่งหน้าทุกครั้งที่ออกงานก็คือพี่ข้าวตู ก็ไปด้วยกันแต่พี่เขากลับก่อน ทีมชุดก็เป็น POEM แล้วก็มีพี่คนนึงที่เป็นคนตัดชุดเดินพรมแดงให้ เรื่องชุดเรื่องวิกเรื่องอะไรมันเตรียมกันก่อนที่จะไปอยู่แล้ว แต่พอไปถึงหน้างานจริงคนที่ไปอยู่กับเราคือพี่ข้าวตู แล้วก็แฟนเราที่เป็นคนจัดแจงเรื่องชุด และเป็นธุระเรื่องต่างๆ ไปกัน 3 คน

Thairath Talk Fresh : รู้สึกยังไงกับผลตอบรับในเมืองไทย

หนึ่งคืออยากให้คนรู้จักงานนี้มากขึ้น สองคือได้แต่งตัวสวยแล้วก็อยากให้คนเห็นมากขึ้น จริงๆ เราก็ไม่คิดว่าคนจะแชร์ ข่าวจะทำเยอะ ปรากฏว่าหลายๆ สำนักเขาก็ทำกัน ก็ขอบคุณไว้ในโอกาสนี้ด้วยนะคะอุตส่าห์ทำข่าวเรา ก็เป็นที่น่าดีใจ

Thairath Talk Fresh : คนเวียนนาเขาเห็นเราแล้วเขาเป็นยังไง

นี่พูดไปไม่ได้มั่นนะเนี่ย เขาเข้าใจว่าเราเป็นผู้หญิงมากกว่าอีก คือต้องเข้าใจลักษณะของกะเทยที่นู่น ตุ๊ดที่นู่นว่าเขาไม่เหมือนบ้านเรา (ต่างกันยังไง) บ้านเราฟิชชี่มาก ฟิชชี่มันคือคำเปรียบเทียบกะเทยที่ดูแบบผู้หญิง บ้านเขาคือแต่ง DRAG (DRAG คือ แต่งตัวเหมือนผู้หญิง) ก็คือ DRAG เลย แบบเล่นใหญ่ของใหญ่ คือเราไปใหญ่แบบไทยๆ แบบสวยงาม เขาก็มองอีผู้หญิงคนนี้สวยดี ก็เป็นการชมเชยกันว่าเรางดงามอะไรประมาณนี้ แต่มันจะตลกมากเวลาเขาได้ยินเสียงเราพูด อ้าวนี่ตุ๊ดหรอ (หัวเราะ) โดยกายภาพของเรามันตัวเล็กกว่าฝั่งนู่นอยู่แล้ว เราก็ดูเดินๆ ไป มันก็ดูเนียนๆ เหมือนผู้หญิง เขาก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิงแต่งตัวสวยมากกว่า แต่พอรู้ว่าเราเป็นตุ๊ดอะไรๆ มันก็จะว้าวหน่อย

Thairath Talk Fresh : รู้สึกยังไงหลายคนมองเพศที่ 3 เป็นตัวตลก แล้วฝั่งยุโรปเขามองยังไง

เราว่าฝั่งนู่นกะเทยหรือว่า DRAG QUEEN เขาจะมองเป็นงานศิลปะมากกว่า งานศิลปะแขนงหนึ่ง DRAG QUEEN ของเขา กะเทยของเขามันก็คือการแต่งตัวเลียนแบบผู้หญิง ซึ่งวิธีการแต่งตัวเขาจะเป็นคอนเซปต์หมดเลย วิธีการแต่งหน้าหรือว่าอะไรประมาณนี้เขาจะเป็นคอนเซปต์หมดเลย เราก็เลยคิดว่าที่นั้นเขามองเป็นงานศิลปะ เป็นงานโชว์ งานเต้น คือศิลปะหมดเลย แล้วเขาจะค่อนข้างเคารพในอาชีพของอันนี้มาก พูดได้ว่ามันเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง แต่ว่ามันก็จะมีรายการทีวี หรือว่ารายการโชว์ก็อีกอย่างนึงนะ

อย่างบ้านเราส่วนใหญ่มันไม่ได้เข้าถึงวัฒนธรรม DRAG QUEEN ในแง่ของศิลปะมากเท่ากับที่นู่น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการที่บอกว่ากะเทยในสื่อบันเทิงเป็นแบบไหน ถูกฝังภาพมาว่าต้องเป็นแบบคนตลก เป็นตลก ซึ่งเราก็เข้าใจในแง่งานบันเทิงมันสามารถที่จะบอกตัวตนได้มากกว่า แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องน่าดีใจว่ายุคหลังๆ เราก็ถูกนำเสนอ LGBT ในรูปแบบอื่นๆ บ้าง ถึงจะไม่มากเท่าตลก แต่ก็เริ่มมีแบบอื่นบ้าง ดราม่าชีวิตอะไรซึ่งแน่นอนว่าปกติแล้วเราก็ไม่ตลกตลอดเวลา คือโอเคเราเป็นคนสนุกสนานน่ะมันใช่ แต่อีดอกเราไม่ได้เป็นคนแบบว่าจะต้องตลกตลอด พูดจาเสียงดัง หยาบคายตลอดเวลามันไม่ใช่ แต่ละคนก็มีบุคลิกต่างกัน คือตอนนี้คนมันมองว่าเพศหญิง เพศชาย เพศ LGBT แต่จริงๆ แล้วมันถ้ามองพื้นฐานว่าทุกคนเป็นคนเท่ากันหมด ทุกคนก็มีทุกอารมณ์

ตัวตน ช่า บันทึกของตุ๊ด 

Thairath Talk Fresh : ช่า บันทึกของตุ๊ด ชื่อนี้มาจากไหน

ช่าก็มาจาก ‘มาช่า’ นี่แหละค่ะ เราเป็นคนที่ชอบพี่มาช่า เป็นไอดอล ก็น่าจะเป็นไอดอลของใครหลายๆ คน ที่เราชอบเพราะว่ามีวันนึงเราบอกกูชอบพี่มาช่าจังเลย ยิ่งมีอายุแล้วก็ยิ่งสวย คือเป็นไอดอลในด้านของการยิ่งมีอายุแล้วเอาชนะความแก่ได้ เราก็ชอบแทนตัวเองว่าช่าเหมือนที่พี่ช่าชอบใช้แทนตัวเองบ่อยๆ เวลาสื่อ แล้วมันประกอบกับว่าเป็นช่วงที่เพจเริ่มดังพอดี แล้วคนก็จำชื่อนั้นไปชื่อช่า จนตอนนี้ก็เลยเรียกกันว่าช่า

Thairath Talk Fresh : เริ่มทำเพจตั้งแต่ตอนไหน

ตั้งแต่ปี 54 ตอนน้ำท่วมใหญ่ เหมือนแบบว่าไม่มีอะไรทำอยู่บ้าน ก็เลยเขียนไดอารี่รอน้ำ ชื่อ “บันทึกของกะเทยกลัวน้ำ” เขียนเล่าบรรยายเกี่ยวกับว่าแบบเรารอน้ำมันเครียดประมาณไหน แต่เขียนตลกนะ กระสอบทรายที่เตรียมไว้ อาหารที่เตรียมไว้ คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าคนมันเครียดกันเยอะ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากจะเล่าผ่านมุมมองของเราให้มันดูตลกบ้าง แล้วปรากฏว่าตอนนั้นคนมันก็เครียดจริงๆ พอมันได้อ่านสนุกๆ ที่มันผ่อนคลายกับชีวิตเขามันก็ทำให้แบบคนมานิยม ตอนนั้นเราก็เลยเปิดเพจ ตอนแรกกะใช้ชื่อเพจบันทึกของกะเทยกลัวน้ำ ดีไม่ตั้ง (หัวเราะ) ดีนะตั้งแค่ “บันทึกของตุ๊ด”

แล้วตอนนั้นก็เขียนไปมีคนไลค์อยู่ประมาณหมื่นเจ็ด เราว่ามันเยอะมากแล้วนะ หมื่นเจ็ดอะตอนนั้นคือแบบที่สุดแล้ว อุ๊ยตายแล้ว! ฉันมีเพจคนไลค์หมื่นเจ็ด คือแบบแฮปปี้แล้ว แต่ปรากฏว่าเพจก็ร้างไป 2 ปี พอประมาณปี 56-57 เราก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตเรามันก็มีหลายมุมมอง ที่เราอยากจะเล่า อยากจะพูดถึง เราก็เลยเริ่มเขียนอุทาหรณ์สอนใจหญิงฉบับที่ 1 ขึ้นมา นั้นแหละก็เป็นช่วงจุดเปลี่ยนของเพจเลย จนตอนนี้ยอดไลค์ 1.6 ล้าน ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาขนาดนี้เลยจริงๆ อันนี้ก็เกินไป

Thairath Talk Fresh : ตัวตนของช่าเป็นใครมาจากไหน

ตอนแรกเราเรียนนิเทศโฆษณามา จบมาแล้วก็มาเป็นกราฟิกดีไซน์อยู่ 2-3 ปี แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนชอบเขียนหนังสืออยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ ประมาณสัก ป.3-4 เราก็เริ่มเขียนการ์ตูน โดยที่จะเอาเพื่อนในห้องมาเป็นตัวละคร แล้วพอ ม.1-2 เราก็เริ่มเขียนงานประกวด คือมันอยู่ในเลือดเนื้ออยู่แล้วแหละ เราก็เลยชอบงานเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่รู้พอโตขึ้นมันสามารถหาเลี้ยงชีพได้รึเปล่า ติดภาพนักเขียนจะต้องจนๆ หน่อย ภาพในเด็กๆ เราคิดแบบนั้น เราก็ไม่ได้คิดว่างานเขียนของเรามันจะสามารถทำมาหากินได้ แล้วในที่สุดคือตอนโตเราก็พบว่าสิ่งที่เราชอบที่สุดคือการเขียน แล้วมันก็สามารถทำเป็นอาชีพได้มาจนถึงตอนนี้ ตอนแรกที่เขียนยังไม่ได้ลาออกจากงาน หลังๆ โอหังรู้สึกว่าน่าจะแบบทำเป็นอาชีพได้ ก็เลยออก ออกมาหลายปีแล้ว

Thairath Talk Fresh : คิดว่าทำไมคนถึงชอบเรา ติดตามเราเยอะขนาดนี้ 

เราพยายามเข้าใจว่าที่คนติดตามเราบ่อยๆ เพราะหนึ่งเรื่องเรามันอ่านแล้วมันสนุก มันอ่านได้เรื่อยๆ สองก็คือเราพยายามที่จะให้คนที่เข้ามาในเพจเรารู้สึกว่าสบายใจ เราว่าตอนนี้เพจมันเกิดขึ้นจำนวนมากในประเทศไทย เอาเป็นว่าแค่ในประเทศไทยเป็นหมื่นเป็นแสนเพจแล้ว เราเป็นคนที่ติดตามหลายๆ เพจ บางทีเราเข้าไปเรารู้สึกไม่สบายใจ เขาไปแล้วก็ โอ๊ย! ทำไมต้องด่ากันเยอะแยะขนาดนี้ เราก็เลือกที่จะไม่เข้า เรารู้สึกว่าเพจที่เข้าไปแล้วสบายใจจริงๆ มันไม่มี มันหายากมาก เพจที่เข้าไปแล้วอ่านอะไรก็ได้ ฟังอะไรที่คุณพิมพ์ก็ได้ อ่านอะไรที่คุณเขียนแล้วสบายใจมันหาได้ยาก

อย่างพี่นิ้วกลมที่เข้าไปอ่านแล้วมันได้อะไรกลับมา เราก็รู้สึกสบายใจ เราก็อยากดำรงเพจบันทึกของตุ๊ดให้เป็นแบบนั้น ก็คือว่าคนเข้าไปอ่านอะไรแล้วก็สนุกดี สบายใจ มีความสุข สนุกกลับไป เราพยายามจะไม่ก่อให้เกิดดราม่าอะไรทั้งสิ้น จะไม่พูดถึงประเด็นสังคมอะไร บางทีอยากพูดปากแทบแหก เหมือนแบบเรื่องการเมือง รัฐประหาร คือเราก็มีทัศนคติของเรา แต่พอเรามายืนจุดที่มีคนมาติดตามเรา บางเรื่องบางอย่างเราก็ต้องเลือกที่จะไม่พูด แต่มันเป็นเรื่องความอึดอัดของเราบางอย่างเหมือนกัน แต่เราเลือกทางนี้ดีกว่าทางที่คนฟอลโลว์เราสบายใจกับเพจเรา ดีกว่ามีเรื่องดราม่าอะไรในเพจ

ทำเพจ นักเขียน นักธุรกิจ 24 ชม. ชีวิต ช่า บันทึกของตุ๊ด 

Thairath Talk Fresh : ทุกวันนี้ชีวิต ทำอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่ก็เขียนเพจนะคะ แล้วก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองตอนนี้ทำธุรกิจมันก็จะวุ่นวายหน่อย ตอนนี้ทำสบู่รักษาสิวที่หลังที่ตัว อันนี้ตั้งใจกับมันมากมันก็จะเป็นเรื่องของการดีลงาน ไปประชุมที่นู่นที่นี่ ของเราเองเลย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นช่วงของการที่เราต้องดีลงานขายตามคอมมิวนิตี้มอลล์ต่างๆ แล้วก็ต้องไปประชุมแล้วก็นอกเหนือจากนั้นก็เป็นการเขียนหนังสือ

Thairath Talk Fresh : ทำอะไรเป็นหลักที่สุด

ถ้าตอนนี้พยายามที่จะให้เป็นหลักที่สุดคือ การเขียนหนังสือ เพราะเราอยากให้มันเสร็จตรงตามกำหนดที่สำนักพิมพ์เขาวางไว้ คืองานพวกนี้มันก็ยากลำบากหน่อยถ้าเราไม่มีอารมณ์ที่จะเขียนหรือว่ามันไม่อยากเขียนหัวมันก็ไม่แล่น บางคนอาจจะคิดว่าคนเขียนหนังสือมันติสต์แตกหรืออะไร มันไม่ได้มันไม่ใช่ว่าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างกลางวันแสกๆ เราไม่ทำเลยนะ มันร้อนมันแสงแดดจ้า มันทำไม่รู้เรื่อง เราก็ทำกลางคืนหน่อยหัวมันจะแล่น ก็ไปนั่งพิมพ์ตอนกลางคืน เราก็จะกลายเป็นคนนอนดึกแล้วก็เป็นคนตื่นสาย

Thairath Talk Fresh : ทำหนังสือมากี่เล่มแล้ว

ตอนนี้ 3 เล่ม เป็นบันทึกของตุ๊ดทั้ง 3 เล่ม แต่ว่าเล่มใหม่ที่จะทำมันไม่ได้เกี่ยวกับบันทึกของตุ๊ดแล้ว มันเป็นเล่มที่ออกไปจากเพจเลยไม่มีตัวละครในเพจเลย ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเพจเลย คือหนังสือเล่มใหม่ไปเลย คือมันก็เป็นเรื่องที่เราพยายามเขียนให้มันต่างกันไป เรามีความตั้งใจอย่างนึงคือว่าเราเขียนบันทึกของตุ๊ดมาปีนี้เข้าปีที่ 7 แล้ว แล้วมันได้ไปเป็นหนังสือ ได้ไปเป็นซีรีส์ มันก็ประสบความสำเร็จในส่วนของบันทึกของตุ๊ดเต็มที่แล้ว

หนังสือเล่มใหม่เราอยากจะท้าทายตัวเองว่าฉันสามารถที่จะเขียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นบันทึกของตุ๊ดอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องราวตลกอย่างเดียว คือเราเขียนอะไรก็สนุก เราตั้งใจที่จะให้คนรู้ว่ากูไม่ได้ฟลุกที่บันทึกของตุ๊ดมันดังขึ้นมา คือฉันจะเขียนหนังสืออีกเล่มซึ่งมันจะเป็นหนังสือที่ดีเหมือนกัน คือมันเป็นการพิสูจน์ความสามารถตัวเองอย่างนึงด้วยแหละ ว่าเราเขียนหนังสืออีกเล่มนึงก็ประสบความสำเร็จได้ โดยไม่ต้องอิงมาถึงบันทึกของตุ๊ดเลย

Thairath Talk Fresh : หลายคนอยากรู้เขียนหนังสือหรือเขียนในเพจให้สนุกต้องทำยังไง

มันเกิดจากการฝึกฝน คือเราเคยมองแนวทางการเขียนของเราตอนนี้กับสมัยเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ก็ไม่เหมือนกัน มันเกิดจากว่าการเรียนรู้ อายุมากขึ้น อะไรแบบนี้ เราจะบอกว่าอ่านหนังสือเยอะมันก็ไม่ใช่ เพราะเราก็ไม่ใช่คนอ่านหนังสือเยอะ ของแบบนี้มันอยู่ที่ว่าถ้าชอบเขียน มันจะเขียนได้เป็นสไตล์ของตัวเอง

Thairath Talk Fresh : เรื่องที่เขียนมีการแต่งเติมไหมในเพจ 

แต่งอยู่แล้วบ้าป่าว คือสมมติว่าเรามีเรื่องอย่าง 100% ทุกเรื่องมันต้องมาจาก base on true story อยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรื่องไหนจริงมาก เรื่องไหนจริงน้อย บางเรื่องมันก็จริงมากหน่อย 80-90% ก็มี บางเรื่องมันจริงน้อยหน่อย 20-30% มันก็มี แต่ที่เหลือคือหน้าที่ของนักเขียนมันก็คือว่าเราต้องเขียนเรื่องยังไงให้คนอ่านจาก A ไปถึง Z อ่านจนจบแล้วเขาได้สารที่เราจะสื่อออกไป บางทีเรามีในใจอยู่แล้วว่าเราอยากบอกคนเรื่องนี้ เพื่อนเราไปทำเรื่องแบบนี้มา อย่างเรื่องมือที่สาม พอเรารับสารนี้เราจะเล่ายังไงให้คนรู้สึกว่ามันอ่านได้จบ รู้สึกว่ามันได้ อ่านแล้วมันเกี่ยวข้องกับชีวิตเขา นั้นคือสิ่งที่เราแบบว่าอยากจะบอก

เรื่องจริง 100% มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ด้วยความที่เราเป็นนักเขียนเราก็เป็นคนที่เติมแต่งเรื่องเก่ง พอเรารับสารมาก้อนนึงเราก็สามารถเล่าได้หลายๆ แบบของเรา เราก็คิดว่าเล่าทางนี้ๆ ดีกว่า เพราะทางนู้นก็เป็นแบบปกติ สำหรับเราเรายอมรับเสมอว่า จะบ้าหรอ! เรื่องจริงอะไรมันจะมันขนาดนั้นว่ะ แต่ทุกอย่างมันเป็น base on true story หมดเลย มันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ อาจจะของเพื่อนเราบ้าง เพื่อนของเพื่อนเราบ้าง วันนี้รุ่นพี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหนูขอเอาไปเขียนได้ไหม แต่ด้วยความที่ตัวละครในเพจเรามันมีอยู่แค่นั้น กอล์ฟ คิม ช่า แนตตี้ พอเราได้ยินเรื่องของรุ่นพี่เราก็เอามาปรับให้เป็นเรื่องของเพื่อนเรา ซึ่งเราว่ามันเป็นสไตล์การเขียนของเพจเรา

Thairath Talk Fresh : ชีวิตจริงตลกเหมือนในแฟนเพจไหม

ไม่หรอก อย่างเรื่องในเพจมันตลกไม่ใช่เพราะเราตลกนะ มันตลกเพราะเรื่องมันตลก แต่โดยตัวตนจริงๆ แล้วเราว่าเราไม่ใช่คนตลกขนาดนั้น เราแอบจะเป็นคนซีเรียสในชีวิตด้วยซ้ำ ยิ่งพอยิ่งโตมันมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราก็เริ่มคิดเรื่องชีวิตมากขึ้น เรื่องเงิน เรื่องธุรกิจ เรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว เรื่องงาน มันก็จะเป็นแนวนั้นมากกว่า แต่ถามว่าแต่ก่อนเราตลกไหม เราก็เป็นคนตลกประมาณนึง ไม่ได้ตลกตลอดเวลา ไม่ใช่คนบ้าตลกตลอดเวลาไม่ได้

Thairath Talk Fresh : เรื่องที่เขียนเรื่องไหนกระแสตอบรับดีที่สุด

เรื่องขี้เลย เรื่องแนตตี้ที่ขี้บนรถ เรื่องนั้นได้รับการตอบรับอย่างดีมากจริงๆ คือคาดไม่ถึงตอนเป็นงานเขียนก็ว่าดีแล้วนะ พอมาเป็นซีรีส์ก็ยิ่งหนัก เราว่าตอนนี้เป็นตอนที่พลิกความนิยมของไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ซีซั่นแรกเลย ตอน1-3 มันก็มาแบบปกติ แต่พอมันผ่านตอนนี้ไปแบบมันขึ้นพีคเลย คนแม่งดูกันเป็นล้านๆ ไม่น่าเชื่อ เจอประสบการณ์ละเราก็ทำช่องในยูทูบด้วยชื่อรายการดูเหอะ กับ รายการพาเธอกลับบ้าน เป็นรายการที่ทำกับเพื่อน เราก็สัมผัสได้ว่าเวลาเราคุยกับแขกบนรถอะเรื่องที่สนุกที่สุดก็คือเรื่องขี้ ไม่รู้ทำไม (หัวเราะ) เวลาคุยเรื่องขี้ เรื่องอึแล้วมันตลกอะ แล้วมันสถานการณ์ที่พออยู่หน้างานมันทรมานแล้วมันไม่ได้โอเคเลย พอมาเล่าแล้วมันเลยกลายเป็นเรื่องตลกไปหมด

ฉันยังไปได้ไกลกว่านี้

Thairath Talk Fresh : กว่าจะมาเป็นช่าในทุกวันนี้อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด

แรกๆ สมัยที่เราเพิ่งเริ่มจะสร้างชื่อเสียง สิ่งที่ยากคือการจัดการคน การสร้างชื่อเสียงให้เพจของเราให้คนติดตามเรื่อยๆ ตอนนี้เราอยู่ตัวในระดับนึงสิ่งที่ยากของเราตอนนี้คือจัดการกับคำวิจารณ์ของคนอื่นมากกว่า ไม่ใช่แค่คำวิจารณ์ที่แย่อย่างเดียวด้วยนะ คำวิจารณ์ที่ดีเราก็ต้องจัดการ อย่างพอเราได้ยินคำวิจารณ์ที่ดีเราก็ต้องบอกตัวเราว่าอย่างเหลิงคำอวยมากเกินไป

แต่พอเราได้ยินคำวิจารณ์แย่ๆ ก็ต้องแยกอีกว่าคำวิจารณ์ที่แย่บางอย่างถ้าเขาพูดด้วยเจตนาอยากให้เราปรังปรุง เก็บมาใช้ได้ เราก็เก็บมา แต่บางเรื่องถ้าคนด่า ด่าด้วยอารมณ์ เราไม่ด่าตอบ เราก็ปล่อยคอมเมนต์พวกนั้นไป ยากที่สุดของเราตอนนี้ก็คือว่าการพยายามจัดการกับคำวิจารณ์ทั้งหมดไม่ว่าจะดีหรือแย่ให้มาอยู่ตรงกลาง ให้สมดุล ให้สามารถที่จะเอามาใช้กับชีวิตได้ เราว่าอันนี้ยากในความเป็นช่าตอนนี้

 

Thairath Talk Fresh : ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง

ไม่เลยยังห่างไกล ในระดับนึงในแง่ของงานเขียนมาเป็นหนังสือ มาเป็นซีรีส์ ในตอนนั้นคือเป็นสิ่งที่ภูมิใจในระดับนึง แต่ถามว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จไหม เรามีความเชื่ออย่างนึงว่า เราจะไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะมันจะทำให้เราไม่พัฒนา งั้นเราจะเป็นคนแบบว่าฉันยังไปได้อีก พอเสร็จตรงนี้ก็จะเขียนหนังสือเล่มใหม่ ก็อยากให้หนังสือเล่มใหม่ดัง อยากได้รางวัล อยากให้มันเป็นหนัง

คือเป้าหมายในชีวิตมันต้องมีเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เราจะได้แอคทีฟตัวเอง ไม่งั้นเราจะกลายเป็นคนที่แบบโอเคประสบความสำเร็จแล้ว ปล่อย ลอยไป ลอยมา เป็นคนที่มันแบบไม่ได้มีคุณค่าอะไร ในความรู้สึกเรา ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จไหม เราพูดแค่ว่าในระดับนึง ในระดับนึงของชีวิตมันมีเรื่องแบบนี้เข้ามาเราก็ดีใจ แต่ถามว่าไปได้อีกไหม เราว่ามันไปได้อีก

Thairath Talk Fresh : อีก 5 ปีมองภาพตัวเองไว้ยังไง

สัก 5 ปี ก็ประมาณ 40 ก็เกษียณตัวเอง เพราะตอนนี้เราทำงานเยอะมาก เพื่อที่จะเหมือนแบบโอเคหนึ่งก็เรื่องเงิน เรื่องชื่อเสียง เรื่องการเขียน การเป็นนักเขียนของเรา เราก็พยายามที่จะสะสมบารมีช่วงนี้ให้ได้ในระดับนึง แต่พอประมาณสัก 40-45 ก็คงแบบปล่อยวาง กลับบ้านอกไปเที่ยว เราว่าชีวิตเรามันสั้นมาก ถ้าเรามาเริ่มเที่ยวตอน 60 เราว่าเราไม่ไหว เราว่าเราต้องเริ่มใช้ชีวิตตอน 40 น่าจะโอเคสุด

Thairath Talk Fresh : ถ้าย้อนเวลากลับไปอยากแก้ไขอะไร 

ถ้าอยากแก้ไขก็คงเรื่องไม่กินยาลดความอ้วนตอนเด็กมั้ง ตอนประมาณ ม.4-ม.5 ก็เริ่มกินแล้ว เราเคยอ้วนมาก เสร็จแล้วเราก็กินยาลดความอ้วน เราก็ผอมมาก แต่เราว่าช่วงที่เราเริ่มกินยาลดความอ้วนมันทำให้ระบบเผาผลาญเราพัง แล้วมันพังหนักมาถึงทุกวันนี้มันแก้ยากมาก ตอนนี้มันทำให้เราเป็นคนที่อ้วนง่าย ผอมง่ายอยู่เงี่ย แล้วเราเป็นคนออกกำลังกายแล้วกล้ามไม่ขึ้น ขึ้นยากมาก เพราะระบบเผาผลาญเราไม่ดี เราว่าสิ่งนี้มันส่งผลกับสุขภาพเราตอนนี้มาก เราเป็นคนที่กินนิดกินหน่อยก็อ้วนอีกละ แต่พออยากจะลดไม่กินข้าวเย็น 3-4 วันน้ำหนักก็ลงแล้ว ซึ่งมันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าย้อนกลับไปได้เรื่องที่ควรดูแลคือเรื่องสุขภาพ


ช่า บันทึกของตุ๊ด กับความภูมิใจในเพศสภาพตัวเอง

Thairath Talk Fresh : คิดว่าตัวเองเป็นเพศไหน ตุ๊ด กะเทย เกย์ เพศที่สาม อยากให้คนเรียกว่าอะไร

ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เราพอใจ เราภูมิใจกับการที่อยู่กึ่งๆ ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เป็นเพศของตัวเองแบบนี้เราโอเคแล้ว เราไม่ได้ให้คำนิยามว่าเราต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

Thairath Talk Fresh : ครอบครัวรู้ว่าเป็นตุ๊ดตั้งแต่ตอนไหน

ครั้งแรกที่พ่อรู้คือตอน ม.2 ตอนนั้นเริ่มเป็นตุ๊ดแล้วแหละ เขาก็ช็อกแหละ เขาเห็นตลับแป้งของเรา ตอนนั้นก็เกิดการคุยกันว่ารู้ไหมมันไม่ใช่ของที่ผู้ชายใช้ แต่จริงๆ เรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราเป็นอะไร เราก็บอกพ่อบอกแม่ว่าเราไม่ได้ชอบผู้หญิง คือเราเป็นตุ๊ดเป็นอะไรแบบนี้ แล้วคือแกก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงหายเอง แม่ก็เฮิร์ตๆ แต่มันก็เป็นดราม่าครอบครัวที่ทุกคนจะต้องผ่าน เหมือนเป็นดราม่าช่วงที่เหมือนว่าพ่อยังงงๆ เขาเป็นผู้ชาย เขาก็รับไม่ได้

Thairath Talk Fresh : ตอนนั้นดราม่าขนาดไหน

ดราม่าเลยแหละถึงขั้นย้ายโรงเรียน คือความคิดของเขา เขาก็ไม่เก็ตคือมันไม่ใช่โรคไม่ใช่อะไรที่รักษาได้โดยการย้ายที่ กินยาหาหมอแล้วหาย คือมันไม่หายไง แต่พอโตขึ้นเข้ามหา’ลัย เราก็เหมือนแบบว่าทำอะไรหลายๆ อย่างให้เขาเข้าใจว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ยังทำงานได้ สุดท้ายแล้วเขาก็แค่เป็นห่วงว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน แล้วตอนนี้เราก็สามารถบอกพ่อเราได้ว่าเราสามารถใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพศเรา เรามีชีวิตที่ดีได้ เราเลี้ยงครอบครัวได้ เขาก็เลิกเป็นห่วงเรา

Thairath Talk Fresh : คุณเคยโดนเหยียดเพศไหม

มันก็พูดยากหน่อยเพราะว่าหนึ่งคือความ ช่า ของเราอ่ะ มันก็ไม่โดนอยู่แล้วไง มันก็ยากหน่อยที่เราจะโดนคนนู่นคนนี้บูลลี่ เพราะเราอยู่ในที่ที่เหมือนแบบว่าเราไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปใกล้กับคนที่จะต้องบูลลี่เราด้วย แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่คนจะเข้ามาบูลลี่เราได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ว่ามันไม่มีเกิดขึ้นเลยในประเทศไทย มันมีอยู่แล้ว แล้วมันมีเยอะด้วย เราคิดว่าการบูลลี่เพศที่ 3 มันเกิดจากว่าเขายังยึดติดกับเพศที่ 3 ที่เขาเข้าใจมาตั้งแตสมัยเด็กๆ เอาง่ายๆ สมัยเด็กๆ สัก ม.3-ม.4 ม.ต้น ม.ปลายก็ตาม มันจะมีเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบล้อกะเทย ล้อตุ๊ดล้อกะเทย ชอบมาจิ้ม มาแกล้ง ด่าทอ

แต่พอมันผ่านไปสัก 10 ปี พองานรวมรุ่นอีกทีนึงอ่ะ อีพวกนี้มันจะเกิดความเข้าใจว่าเพศที่ 3 มันเป็นแบบไหน อยู่ร่วมกันได้ไหม มันก็จะปฏิบัติกับเราเหมือนคนปกติ คือมันต้องผ่านการเรียนรู้ความเข้าใจในระดับนึงว่าเพศที่ 3 มันเป็นแบบไหน อาจจะต้องเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยมันถึงจะเข้าใจว่าสุดท้ายเราจะอยู่ร่วมกันกับเขาได้ แต่ก็ต้องยอมรับอีกอยู่ดีว่าอีกลุ่มนั้นที่เคยล้อเราตอนเด็กอ่ะ มันก็จะมีอีกกลุ่มเล็กๆ ที่ตอนนี้มันยังล้อเราอยู่ เพราะเขาแม่งไม่ได้เกิดความเข้าใจในเพศที่ 3 ระหว่างทางเลย

Thairath Talk Fresh : อยากจะบอกอะไรกับคนที่มองว่าคุณเป็นพวกแปลกแยก

ตลกอ่ะ คือตอนนี้หลายๆ คนก็เข้าใจไปแล้ว แต่หลายคนก็มัวแต่คิดอยู่กับว่าถ้าเรามองคนเป็นคนเท่ากัน ไม่ใช่เป็นเพศหนึ่ง เพศสอง  เพศสาม เพศสี่ ถ้าทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนเท่ากันทุกอย่างคือจบ ไม่ได้มีอะไรเลย แต่ทุกวันนี้ทุกคนมองว่าเพศชาย เพศหญิง ผู้ชายบางคนก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพศผู้นำ แล้วก็จะมามองเพศอื่นว่าต้องอยู่รอตัวเอง ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันควรหมดยุคนั้นไปได้แล้ว ทุกคนควรเข้าใจว่าทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่งตัวแบบไหน คุณจะมีพฤติกรรมแบบไหนก็ตาม คุณก็มีอารมณ์โกรธ มีความดี ความไม่ดี เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะไม่เคยมองว่าเพศชายจะต้องเหี้ยกว่าเพศหญิง หรือเพศหญิงจะต้องริษยามากกว่าเพศชาย ทุกคนมันจะต้องมีอารมณ์แบบพื้นฐานเหมือนกันหมด ทุกคนมันเกิดจากว่าพื้นฐานเป็นคนเท่ากัน บางคนควรจะมีความคิดแบบนี้ได้แล้ว

Thairath Talk Fresh : ฝากถึงหลายคนที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของตัวเอง

อันนี้ก็มีหลายคนมาปรึกษาเหมือนกัน เราก็จะแค่พูดว่า แล้วแต่ความสะดวกของคุณนะ ถ้าคุณอยากเปิดเมื่อไหร่ คุณพร้อมเมื่อไหร่ คือการเปิดตัวเองว่าเป็นเพศที่ 3 มันไม่ได้มีแค่ว่าฉันเปิดแล้วจบ มันมีผลกระทบรอบๆ ตัวเยอะแยะมากมาย เช่น คุณพ่อคุณแม่เข้าใจไหม สังคมรอบข้างมีท่าทางยังไงกับเพศที่ 3 หรือว่าตัวเองสามารถตั้งรับกับปฏิกิริยาของคนที่บอกได้ไหม ถ้าคุณพร้อมทุกอย่างแล้ว สังคมรอบๆ ตัวคุณไม่มีปัญหาแน่นอน คุณพ่อคุณแม่น่าจะคุยกันได้ หรือว่าคุณพร้อมที่จะตั้งรับกับอะไรบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะจริงๆ แล้วเราก็ต้องยอมรับแหละว่าสังคมไทยบางทีบางบ้านบางสถานที่ก็เหมือนจะยอมรับ แต่จริงๆ ก็ไม่ยอมรับมันก็มี ถ้าคุณพร้อมทุกอย่างแล้ว แล้วคุณสะดวกใจที่จะเปิด เปิดเลย แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมหรือว่ายังไม่แน่ใจ ทำดีไม่ทำดี ก็รอเวลาพร้อมก่อนแล้วค่อยเปิดก็ได้.

ขอบคุณ ข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/1503740

Leave a Comment

Contact

Connect

Subscribe

Join our email list to receive the latest updates.

Add your form here