วัยรุ่นยุคใหม่ ใส่ใจเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

//

lgbtthai

beefhunt

การเผชิญหน้ากับปัญหาด้านสุขภาพที่มากับเพศสัมพันธ์เป็นประเด็นสำคัญในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ ซึ่งมีทั้งความท้าทาย และความกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับเพศสภาพ และอัตลักษณ์ทางเพศ การให้ความรู้ และการป้องกันตัวเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้เรื่องวิธีการป้องกัน และการเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

วัยรุ่นยุคใหม่ ใส่ใจเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วัยรุ่นรู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ดีแค่ไหน?

แม้จะมีการให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในโรงเรียน และสื่อสารมวลชน แต่หลายคนอาจยังขาดความเข้าใจถึงอันตราย และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน ซิฟิลิส และเอดส์ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในกลุ่มวัยรุ่นทั้งชาย หญิง และ LGBTQ+ หากวัยรุ่นขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มักจะเกิดกับวัยรุ่น 

  • หนองใน (Gonorrhea): เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และแพร่ระบาดอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น มีอาการเช่น ตกขาวขุ่น ปวดเวลาปัสสาวะ สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
  • ซิฟิลิส (Syphilis): โรคนี้มีระยะการแพร่กระจายหลายระยะ และอาการต่างกัน สามารถรักษาได้หากตรวจพบเร็ว
  • เอดส์ (AIDS): เป็นผลจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีการป้องกัน และควบคุมได้โดยการใช้ยา ARV ที่ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ
  • หูดหงอนไก่ (Genital Warts): เกิดจากไวรัส HPV และสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน HPV วัยรุ่นหญิง และชายควรฉีดเพื่อป้องกันการเกิดหูดหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูกในอนาคต
  • โรคเริม (Herpes Simplex Virus): มีอาการเป็นตุ่มใสที่เจ็บปวดตามบริเวณอวัยวะเพศ สามารถเกิดการระบาดได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อภูมิต้านทานต่ำลง
วัยรุ่นที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แล้วจะมีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศได้หรือไม่?

วัยรุ่นที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แล้วจะมีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศได้หรือไม่?

แม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์จะเป็นวิธีหลักในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) แต่ในบางกรณี วัยรุ่นที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ยังมีโอกาสติดโรคได้ เนื่องจากบางโรคติดต่อได้ผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง เช่น การสัมผัสของใช้ส่วนตัวกับผู้ที่ติดเชื้อ การสัมผัสสารคัดหลั่ง การสัมผัสเลือด หรือน้ำลายในบางกรณี ซึ่งอาจนำไปสู่การติดโรคได้

ตัวอย่างโรคที่สามารถติดได้โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์

  1. โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B): เป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่ผ่านเลือด น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งอื่น ๆ ได้ จึงมีโอกาสติดได้แม้ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การสัมผัสสารคัดหลั่งผ่านบาดแผล หรือการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน
  2. หูดหงอนไก่ (Genital Warts): เกิดจากเชื้อ HPV ซึ่งแพร่ผ่านการสัมผัสผิวหนัง โดยเชื้อสามารถแพร่ได้จากการสัมผัสบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น มือ หรือการสัมผัสผิวหนังที่ติดเชื้อ HPV โดยตรง อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกัน HPV สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี
  3. โรคเริม (Herpes Simplex Virus): โรคเริมสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ โดยโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณริมฝีปาก และอวัยวะเพศ การสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อเริมโดยตรง เช่น การใช้ภาชนะร่วมกัน การจูบ หรือการสัมผัสแผลที่มีเชื้อสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  4. หิด (Scabies): แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่หิดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไรหิด และสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสตัวหรือการใช้ของร่วมกันได้ เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หรือตามสถานที่ที่มีการใช้ของร่วมกันเป็นประจำ

การป้องกันโรคเหล่านี้ทำได้โดยการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้ และการระมัดระวังในการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการของโรค

การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียวเพียงพอไหม?

การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียวเพียงพอไหม?

การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยนั้นถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันโรคได้ครบถ้วนทุกโรค เนื่องจากบางโรคติดต่อได้ผ่านการสัมผัสบริเวณผิวหนังที่ไม่ได้ปกคลุมด้วยถุงยาง เช่น หูดหงอนไก่ (Genital Warts) ที่เกิดจากเชื้อ HPV ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนัง หรือ เริม (Herpes Simplex Virus) ซึ่งสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสผิวหนังหรือสารคัดหลั่ง แม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัย

การเสริมชั้นป้องกันนอกเหนือจากการใช้ถุงยางอนามัยจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีเพศสัมพันธ์บ่อย วิธีการป้องกันเพิ่มเติมที่ช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ได้แก่:

  • การใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): เป็นยาที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ยาจะต้องกินอย่างสม่ำเสมอ และสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมาก
  • การใช้ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis): เป็นยาที่ใช้หลังจากเกิดเหตุการณ์เสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันหรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ที่มีเชื้อ HIV ยาต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังเสี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อบางชนิด: วัคซีนช่วยเสริมการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างวัคซีนที่สำคัญ เช่น
    • วัคซีน HPV: ป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหูดหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูก การฉีดวัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดตั้งแต่วัยรุ่นทั้งชาย และหญิง
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine): ไวรัสตับอักเสบบีสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสกับเลือด และสารคัดหลั่งอื่น ๆ ได้ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine): แม้โรคนี้จะติดต่อผ่านทางอาหาร และน้ำที่ปนเปื้อน แต่บางกรณีอาจแพร่ทางสารคัดหลั่ง และเพศสัมพันธ์ได้ จึงแนะนำให้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้วิธีการหลายชั้น ซึ่งรวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ การรับวัคซีนที่เหมาะสม และการใช้ยา PrEP หรือ PEP สำหรับกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และปลอดภัยในสุขภาพ

หากพบว่าตัวเองมีความเสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศ ควรทำอย่างไร?

หากพบว่าตัวเองมีความเสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศ ควรทำอย่างไร?

การรับรู้ถึงความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ที่อาจติดเชื้อ สิ่งสำคัญคือการทำการตรวจสอบสถานะสุขภาพเพื่อให้สามารถได้รับการรักษาในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้

การเข้ารับการตรวจโรค

การตรวจโรคเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ หากสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยง หรือสัมผัสกับผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตรวจสามารถทำได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะทางที่มีบริการด้านสุขภาพทางเพศ การตรวจจะช่วยให้ทราบสถานะการติดเชื้ออย่างแม่นยำ และสามารถดำเนินการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างทันท่วงที

โรคที่มักได้รับการตรวจ ได้แก่

  • HIV (เอชไอวี): การตรวจหาเชื้อ HIV สามารถทำได้จากการตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณของเชื้อไวรัสในร่างกาย ซึ่งควรทำการตรวจในช่วงที่สงสัยหรือหลังจากพฤติกรรมเสี่ยง
  • ซิฟิลิส: ตรวจเลือดหรือปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารจากเชื้อแบคทีเรีย
  • หนองใน (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia): การตรวจอาจทำได้จากการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ หรือจากปากหรือทวารหนัก
  • HPV และหูดหงอนไก่: การตรวจสามารถทำได้ผ่านการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะในกรณีของอาการผิดปกติ

การให้ข้อมูลกับแพทย์อย่างตรงไปตรงมา

การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และครบถ้วนแก่แพทย์จะช่วยให้การวินิจฉัย และการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบอกพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน การใช้ของร่วมกับผู้อื่น หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ การบอกสถานะของคู่นอน หรือโรคที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็เป็นข้อมูลที่มีค่า

การรักษาตามคำแนะนำของแพทย์

หากผลการตรวจพบการติดเชื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อาจต้องใช้ยาเพื่อรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการรักษาหนองใน หรือการใช้ยาต้านไวรัสสำหรับการรักษา HIV ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาหรือการรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำหรือลุกลาม

การป้องกันในอนาคต

หลังจากการรักษา การป้องกันโรคในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ โดยการใช้ถุงยางอนามัยในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และการทำการตรวจโรคอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ นอกจากนี้ ยังสามารถพิจารณาการใช้ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ HIV เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ก่อนที่จะเกิดพฤติกรรมเสี่ยง

การพูดคุยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สิ่งสำคัญอีกประการคือการเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหรือคนใกล้ชิด การทำความเข้าใจในเรื่องการป้องกันโรค และการตรวจสอบสถานะสุขภาพร่วมกันจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และสร้างความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง และคนอื่น

การเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลสุขภาพ และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะช่วยให้วัยรุ่นสามารถมีชีวิตที่สุขภาพดี และปลอดภัยจากโรคติดต่อในอนาคต.

ฉะนั้นการตระหนักรู้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง และเข้าใจวิธีการป้องกันตัวเองจะช่วยให้วัยรุ่นสามารถจัดการ และป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกันด้วยหลายชั้น เช่น การทานยาเพื่อป้องกันก่อนมีความเสี่ยง การฉีดวัคซีน การใช้ถุงยางอนามัย และการเข้ารับคำปรึกษาจากคลินิกหรือโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้วัยรุ่นยุคใหม่สามารถดูแลสุขภาพตนเองอย่างปลอดภัย และมีความรู้เท่าทัน

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ควรรู้จัก

Contact

Connect

Subscribe

Join our email list to receive the latest updates.

Add your form here