ด้วยความที่มองโลกในมุมบวกสุดๆ เต็มไปด้วยความหวัง ที่ส่งให้ผู้ชมเดินออกจากโรงพร้อมกับพลังในการต่อสู้กับชีวิต ในอีกด้านหนึ่งของ Life Itself
ก็ไม่ต่างไปจากงานที่พาผู้ชมและตัวละคร หลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย เศร้าหมอง และหดหู่ กับอารมณ์แบบงานฟีลกู๊ดสุดขั้ว ที่ตัวละครในเรื่อง ‘เกือบ’ ทุกคนสามารถหลีกหนีหลบพ้นเงามืดที่เข้ามาเกาะกุมชีวิตได้สำเร็จ โดยที่ไม่ต้องพยายามหรือกระเสือกกระสนให้มากมาย เกย์หาเพื่อน
ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกว่า นี่คือหนัง ‘โลกสวย’ ที่พาตัวละครและผู้ชมไปเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ได้อย่างมีความสุข ทั้งที่จริงๆ แล้วแต่ละคนล้วนอดอยากปากแห้ง มีปัญหาที่แก้ไม่ตกให้ขบคิดจนไมเกรนจะระเบิดขมับ แต่ด้วยการนำเสนอบางสิ่งบางอย่างที่ ‘โดน’ ใจ ‘กระแทก’ ความรู้สึกเต็มๆ ประเด็นที่มีเสน่ห์ ปมบางอย่างที่ยิ่งกว่าน่าสนใจ บวกการแสดงที่ ‘ได้’ เกือบจะถ้วนหน้า จะว่าไป Life Itself ก็เหมือนประเด็นหลักที่ตัวเองพยายามนำเสนอ
ประเด็นที่ว่า ‘ชีวิต’ โดยตัวมันเองคือนักเล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่างที่ตัวละครรายหนึ่งในหนังพูดเอาไว้ว่า “ชีวิตตุกติกกับเรา ทำให้เราหลงทาง มันอาจจะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งดูเป็นฮีโร่ แม้จริงๆ เขาอาจเป็นตัวร้าย ฮีโร่หรือตัวร้าย ตัวร้ายหรือฮีโร่ บางทีพวกคนดีและคนเลวในเรื่องของเรา จริงๆ แล้วก็เป็นแค่คนที่มีบทบาทในแต่ละวัน ที่อยู่ในเรื่องราวที่ใหญ่โตมากกว่า”
เมื่อหนังที่เหมือนจมอยู่กับความหดหู่ เศร้าหมอง กลับเต็มไปด้วยความสวยงามและพลังชีวิต จากเรื่องราวของผู้คนมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีความสัมพันธ์กัน เริ่มด้วยการเล่าเรื่องที่ผิดที่ผิดทางจากตัวละครรายหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย และเผยตัวตนคนที่ควรเล่าเรื่องราวเหล่านี้จริงๆ อย่างช้าๆ ที่แบ่งเรื่องราวเป็นบทๆ เริ่มต้นกันจากบทที่ 1 ซึ่งพาไปพบกับวิลล์ชายหนุ่มที่มุ่งมั่นว่าจะมีรักเดียวในชีวิต แต่จู่ๆ แอ็บบี้ – ภรรยา ก็ (ดูเหมือนว่าจะ) ทิ้งเขาไป จนตัวเองเสียศูนย์ ดูเป็นผู้ชายฟูมฟายที่ไม่รู้จักตัดใจ ก่อนจะเฉลยออกมาในตอนท้าย ว่าทำไมสภาพจิตใจของเขาถึงแหลกเละขนาดนั้น ตามด้วยชีวิตที่อ้างว้างของดีแลน เดมป์ซีย์ในบทที่สอง เธอคือเด็กสาวที่ชื่อคือผลพวงจากความรักของพ่อและแม่ หากต้องเจอกับการสูญเสียมากมาย ที่ทำให้ชีวิตใสๆ ในวัยเยาว์เต็มไปด้วยเรื่องขุ่นมัว จนเติบโตเป็นวัยรุ่นขบถที่เหมือนพร้อมกดระเบิดตัวเองอยู่ตลอดเวลา
บทที่ 3 เรื่องของครอบครัวกอนซาเลซ ที่ฮาเวียร์ – ผู้นำครอบครัว เป็นคนเก็บมะกอกในไร่มหาเศรษฐี ชีวิตเขามีแค่ภรรยากับลูกชาย และพยายามแยกตัวจากสังคมภายนอก แต่ขณะเดียวกันเจ้าของไร่ ก็พยายามแทรกเข้ามาในครอบครัวเขา เมื่อลูกชายกลายเป็นพยานในการสูญเสียครั้งสำคัญ สิ่งที่ฮาเวียร์พยายามรักษาก็ต้องหลุดมือไป ในบทที่ 4 หนังพาไปพบความเป็นไปของร็อดริโก เด็กหนุ่มที่แม่เป็นมะเร็ง มีคนรักที่เขาไม่ได้รู้สึก ‘รัก’ อย่างจริงจัง และต้องเดินทางมาเรียนต่างบ้านต่างเมือง พร้อมกับคำร่ำลาของแม่ที่ว่า “พอก็คือพอ” ซึ่งมากพอจะทำให้เขายุติบางเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าชีวิตรักของพวกเขาไปด้วยกันไม่ได้ บทนี้ปิดจบด้วยการที่บางคนที่เหมือนคนร้ายกลับกลายเป็นผู้ชายที่ดีงามอย่างที่สุดคนหนึ่ง
บทสุดท้าย กลายเป็นการเปิดตัวคนเล่าเรื่องที่ถูกต้องและสมควรกับเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อเนื้อหาทุกอย่างไหลลงมารวมกันที่การเผยตัวตนของตัวละครที่เราได้ยินแต่เสียงมายาวนาน
แต่ไม่ว่าจะเป็นบทไหน เรื่องของใคร แม้โทนหนังจะทำให้รู้สึกว่าท้ายที่สุดตัวละครก็น่าจะหาทางออกได้ หากแต่ละคนก็มีความพลิกผันหักเหในตัว จากเรื่องของหนุ่มอกหักกลับเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่กว่านั้น สาวรุ่นที่ดูใจแตกและเปราะบางกลับแข็งแกร่งมากกว่าที่เห็น ผู้ชายที่เหมือนคนดีกลายเป็นคนร้ายในฐานะมือที่สาม คนที่แย่งบางอย่างจากอีกคนคือสุภาพบุรุษที่ยึดมั่นในคำสัญญา
หนังเกาะประเด็นของ ‘ชีวิตโดยตัวเองเป็นคนเล่าเรื่องที่แย่ที่สุด’ ได้อย่างมั่นคง แม้บางปมบางประเด็นดูจะไม่กระจ่างชัด หรือการพาตัวเองหลุดพ้นจากชีวิตอันเลวร้ายของตัวละครได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่เจอกับเหตุการณ์ที่สาหัสเหลือเกินในชีวิต รวมถึงความบังเอิญที่เกินจะเชื่อ หากทุุกอย่างถูกเล่าผ่านการแสดงที่ดี โดยมีเซอร์จิโอ เพริส – เมนเชตา, ลาเอีย คอสตา และแอนโตนิโอ แบนเดราส สามตัวละครหลักของบทที่สาม เป็นท็อปปิงที่อยู่ด้านบนสุด
แล้วก็มีอัลบั้ม Time Out of Mind ของบ็อบ ดีแลนเป็นตัวตอกย้ำกับการเป็นอัลบั้มโปรดของวิลล์กับแอ็บบี้ กับการเป็นงานที่เต็มไปด้วยความหดหู่ หม่นหมอง แต่กลับมีเพลงที่คาดไม่ถึงอย่าง “Make You Feel My Love” เพลงรักที่สดใส เปี่ยมไปด้วยความหวัง แทรกเป็นแกะขาว ผิดไปจากที่คาดหลังได้สัมผัสกับเพลงอื่นๆ เช่นเดียวกับเรื่องราวของชีวิตโดยตัวมันเอง ที่ในความหม่นมืดก็ยังมีความสว่าง ขอแค่เรายืนหยัดผ่านความหดหู่ สู้กับความทุกข์ได้มากพอ เราจะพบกับ ‘ความรัก’ ที่นำพาชีวิตไปสู่จุดเปลี่ยน เพี้ยนไปจากที่มันเดินทางมาตั้งแต่เริ่มต้น
ทำให้ไม่แปลกใจเลยกับการตัดสินใจของวิลล์ ชายหนุ่มผู้เด็ดเดี่ยวในความรัก เมื่อเขาให้มันไปจนหมด และไม่สามารถหาสิ่งนั้นจากคนที่รับไปจากเขาได้อีกต่อไปแล้ว
นี่ไม่ใช่แค่ฟีลกู๊ด หลายๆ อย่างของหนังดูจงใจ ประดิษฐ์ แต่ด้วยการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติ ทำให้หนังที่ควรฟูมฟายจนขึ้นฟอง ไม่ย้วยจนน่าเบื่อ และสามารถสะกิดผู้ชมได้สำเร็จ จนทำให้เดินออกจากโรงด้วยความรู้สึกดีๆ พร้อมกับอารมณ์แบบ ‘รู้สึกผิดที่เพริด’ (Guilty Pleasure) ไปกับหนัง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากประเด็นที่มันพยายามบอก
ชีวิตเล่าเรื่องได้ไม่น่าเชื่อถือขนาดไหน ตัวหนังทำได้แย่กว่านั้น ทั้งไม่สมเหตุสมผล เริ่มต้น – เดินหน้าอย่างหดหู่ แต่ท้ายที่สุดก็รูดม่านได้อย่างสวยงาม ผิดไปจากที่ควรจะเป็น หรือคาดเอาไว้
นี่ล่ะชีวิต..
*หมายเหตุ: หนังเข้าฉายรอบปกติในวันที่ 5 ธันวาคม, ส่วนวันที่ 29 พฤศจิกายน – 4 ธันวาคม เข้าฉายรอบ 2 ทุ่มในบางโรงภาพยนตร์
ขอบคุณ ข่าวจาก https://www.gqthailand.com/life/article/life-itself-movie-review